…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๕๗…
…การระลึกนึกถึงความตายนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนตายเพราะการระลึกถึงความตายนั้นจะทำให้ความยึดถือทั้งหลายในรูปธรรมวัตถุจะได้เบาบางลงอัตตาและมานะทิฐิทั้งหลายนั้นก็จะเบาบางลง ความโลภความหลงทั้งหลายก็จะค่อย ๆ จางคลายหายไป เพราะชีวิตนี้ไม่มีวัตถุอะไรที่จะนำติดตัวไปได้เมื่อตายจาก มีเพียงกรรมสิ่งที่ได้ทำไปนั้น ที่จะติดตามตัวของเราไปในปรโลก ทั้งสิ่งที่เป็นบุญและเป็นบาป
…จึงต้องคิดและพิจารณากันว่าทำอย่างไรให้ตายไปอย่างมีความสุขไม่ต้องทุกข์ทรมานขณะจะสิ้นลมการระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอนั้นจะทำให้จิตนั้นไม่หวั่นไหวต่อความตายที่จะมาถึงในอนาคต ซึ่งทุกคนต้องประสพไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้…
…สาระกวีธรรมในยามดึก…
๐ สายลมเย็น พัดผ่าน ในยามค่ำ
ฟ้ามืดดำ คล้ายเดือนแรม ไม่แจ่มใส
เดือนและดาว บนฟ้า มาลาไป
ท้องฟ้าไร้ ซึ่งแสง แห่งดวงดาว
๐ เสียงสายลม พัดประสาน เป็นงานศิลป์
กลิ่นไอดิน ฟุ้งกระจาย ให้เหน็บหนาว
สกุณา ขับขาน เป็นครั้งคราว
คือเรื่องราว ที่ผ่านไป ในค่ำคืน
๐ ลมพัดพา เมฆไป ให้กระจ่าง
ฟ้าสว่าง พาใจ ให้สดชื่น
ช่วยปลุกใจ มิให้หลับ กลับมาตื่น
และพลิกฟื้น หัวใจ ให้ใฝ่ธรรม
๐ กายวิเวก จิตวิเวก ปัจเจกจิต
ใคร่ครวญคิด มิให้ ใจตกต่ำ
ละอัตตา ตัณหา ที่ครอบงำ
ยกข้อธรรม มาพินิจ คิดใคร่ครวญ
๐ สังคหะ วัตถุสี่ มีเนื้อหา
จะนำพา สังคม ให้สมส่วน
ให้สังคม มีความรัก และชักชวน
สู่กระบวน พัฒนา มารวมกัน
๐ หนึ่งคือทาน การให้ ใจเอื้อเฟื้อ
และช่วยเหลือ เผื่อแผ่ ความสุขสรรค์
เสียสละ ส่วนตน ไปแบ่งปัน
ช่วยเหลือกัน ตามกำลัง ในครั้งคราว
๐ สองนั้นหรือ คือวาจา ที่อ่อนหวาน
คำกล่าวขาน สุภาพ ไม่สามหาว
เอาปิย วาจา มาเป็นกาว
เชื่อมรอยร้าว ในมิตร ให้ชิดกัน
๐ สามขวนขวาย ในงาน การกุศล
บำเพ็ญตน ด้วยจิต คิดสร้างสรรค์
คืออัตถะ จริยา สายสัมพันธ์
ร่วมใจกัน ทำประโยชน์ เพื่อแผ่นดิน
๐ ต้องวางตัว ให้เหมาะสม กับโอกาส
อย่าพลั้งพลาด ให้คน เขาติฉิน
เสมอต้น เสมอปลาย ไร้มลทิน
เป็นอาจินต์ เรียกว่า สมานัตตา
๐ ธรรมเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยว เกี่ยวใจไว้
ให้เกิดความ รักใคร่ และห่วงหา
ประสานชน ประสานใจ ให้ศรัทธา
สร้างคุณค่า ของตน ด้วยผลงาน
๐ อุทานธรรม กับสายลม ในค่ำคืน
จนดึกดื่น เที่ยงคืน ใกล้พ้นผ่าน
ได้เวลา ที่ชอบ ประกอบการ
สร้างผลงาน กวีธรรม ประจำวัน….
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๗ เมษายน ๒๕๖๕…