…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๗๖…
…ว่างเว้นจากการเขียนบทกวีมาหลายวัน เพราะมีภารกิจที่ต้องเดินทางและทำงานอยู่ตลอดจึงเขียนแต่บทความซึ่งแฝงไว้ด้วยหลักธรรม การเขียนบทกวีนั้นบางครั้งเราต้องใช้อารมณ์ศิลปินเพื่อที่จะสร้างคำหรือภาษาที่สวยงาม ซึ่งต้องเวลาและอารมณ์ เป็นหลักในการประพันธ์บทกวี เมื่อได้พักกายพักจิต ทำชีวิตให้สบาย ทั้งภายนอกและภายใน ใจก็พร้อมที่จะทำงาน…
…การผ่อนคลายทางจิต โดยการปลดปล่อยความรู้สึกและความคิดไปสู่ท้องฟ้า มองหมู่เมฆที่เคลื่อนไปมาตามกระแสลม มองหมู่ดาวบนฟ้าในยามราตรีร้อยเรียงเรื่องราวมาเล่าเป็นบทกวี เป็นการพักผ่อนที่มีความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม…
…เมื่อฝนซาฟ้าใสใจเป็นสุข…
๐ จะร้อยเรียง เรื่องราว และข่าวสาร
ประสบการณ์ ผ่านตา มาให้เห็น
สอนให้จำ ทำให้ดู อยู่ให้เป็น
ไม่ยากเย็น เกินกว่า พยายาม
๐ มองหมู่เมฆ เคลื่อนคล้อย ลอยบนฟ้า
แล้วแต่ลม นำพา ไม่ไถ่ถาม
ไม่มีสิทธิ์ ร้องขอ หรือต่อความ
เจ้าลอยตาม แรงลม ที่พัดพา
๐ จากกลุ่มน้อย ลอยมา พาประสาน
จึงเกิดการ รวมตัว บนท้องฟ้า
เป็นก้อนใหญ่ เคลื่อนไหว อยู่ไปมา
อีกไม่ช้า ก็จะกลาย เป็นสายฝน
๐ แล้วร่วงหล่น ลงมา สู่เบื้องล่าง
ทุกสิ่งอย่าง ล้วนมี ซึ่งเหตุผล
มีที่มา ที่ไป ใช่วกวน
ไม่เหมือนคน ที่ใจ ไม่แน่นอน
๐ ใจคนนั้น ผันแปร แล้วแต่จิต
เปลี่ยนความคิด จิตใจ ให้ยอกย้อน
ไม่มีความ เที่ยงแท้ และแน่นอน
จิตปลิ้นปล้อน กลับกลอก หลอกเหมือนลิง
๐ เพราะกิเลส ตัณหา พาให้คิด
แปรเปลี่ยนจิต ไปกับ ทุกทุกสิ่ง
ไม่ยอมรับ ความเห็น ที่เป็นจริง
จิตไม่นิ่ง เพราะขาดธรรม จะนำทาง
๐ จิตที่มี คุณธรรม นำความคิด
รู้ถูกผิด ดีชั่ว ทุกสิ่งอย่าง
รู้จักการ ปล่อยปละ และละวาง
ธรรมจะสร้าง จิตสงบ พบความจริง
๐ มีสติ และสัม-ปชัญญะ
จิตก็จะ พบความ สงบนิ่ง
ได้รู้โลก รู้ธรรม ที่เป็นจริง
จิตจะนิ่ง และสงบ เมื่อพบธรรม…
…แด่อารมณ์กวีหลังฝนหยุดตก…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕…