…บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๘…
…ผู้ที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทขาดสติ ที่เป็นสัมมาสติคือการระลึกรู้ในสิ่งที่ดี เพราะว่าความประมาทที่ขาดสัมมาสตินั้น จะทำให้นักปฏิบัติเห็นผิดไปจากความเป็นจริงคือมีสติ แต่เป็นมิจฉาสติ คือการระลึกรู้ในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว ความไม่ประมาทนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มีอยู่ ๔ ประการคือ…
๑. ไม่มีความอาฆาตพยาบาทใคร คือการที่ต้องทำให้มีจิตใจเป็นกุศล จิตใจที่ดีงามไม่น้อยใจตนเอง ไม่น้อยใจผู้อื่นไม่โกรธตนเอง ไม่โกรธผู้อื่น อยู่กับความคิด อยู่กับจิตที่เป็นกุศล
๒. มีสติอยู่ทุกเมื่อ คือมีการระลึกรู้ในสิ่งที่กำลังคิดและในกิจที่กำลังทำ รู้จักการแยกแยะบุญและบาป สิ่งที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล รู้ในสิ่งที่ควรคิดและในสิ่งที่ควรทำ คือการรู้กาย รู้จิต รู้ความคิดรู้การกระทำ มีสติเป็นสัมมา
๓. มีสมาธิอยู่ภายใน คือการตั้งใจมั่น ในสิ่งที่กำลังคิดและกำลังทำ มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะจิต เพราะว่าสมาธินั้นคือจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นอยู่ในกายในจิต ในสิ่งที่คิดและในสิ่งที่ทำ
๔. บรรเทาความอยากในใจในจิต คือการรู้จักคิดให้พอดีและพอเพียงกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ คือคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ตามเหตุและปัจจัยที่มี นั้นคือความพอดีในการคิด คือการรู้จักควบคุมจิตใจ ให้อยู่กับความเหมาะสม
…พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “บุคคลใดได้มีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ บุคคลผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในคำสอนของเราตลอดกาล”…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔…