…บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๔๖…
…เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนั้นมันสั้นลงทุกวินาที ที่ผ่านเลยไปจงใช้เวลาที่เหลืออยู่นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้อย่าได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้สาระ ทบทวนใคร่ครวญในสิ่งที่ผ่านมา ว่าเรานั้นได้สร้างได้ทำอะไรมาบ้างแล้ว เรามีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราได้สร้างได้ทำมาแล้วหรือไม่ ชีวิตนี้มีความทรงจำที่ดีเก็บไว้แล้วหรือยัง…
…สายลม โอบกอดเมฆหมอกบนฟ้าเริงร่าเคลื่อนคล้อยลอยไหลใบไม้ต้องลมแกว่งไกวเมฆน้อยลอยไหลไปมาท้องฟ้าเมื่อคราหลังฝนที่เคยหมองหม่นก็แจ่มใสเมฆหมอกครึ้มดำก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเมฆใหม่นวลตา
…ภูเขา ทอดยาวตั้งเด่นเห็นชัดหลายหลากพฤกษานานานพันธุ์กลายเป็นป่าไม้ที่เขียวขจี ร่มเย็นสรรพสัตว์ทั้งหลายได้พึ่งพาอยู่อาศัยป่าไม้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลแต่ภูเขายังตั้งเด่นอยู่เช่นเดิมฝนเติมกำลังให้กับผืนป่าสดชื่นทุกครั้งคราเมื่อยามหลังฝนชีวิตใหม่มากมายได้เกิดขึ้น
…แสงแดด สาดส่องผ่านม่านเมฆหมอกบ่งบอกให้รู้ว่าฟ้าแจ่มใสคือฟ้าหลังฝนที่เปลี่ยนไปกลับมาแจ่มใสหลังมืดมนปลุกปลอบใจคนให้ตื่นฟื้นมาผีเสื้อ แมงปอเริงร่าออกโบยบินไอกลิ่นของดินลอยโชยมา
…สายลม ภูเขา ป่าไม้และแสงแดดเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเป็นอย่างนั้นมานานและต่อไปแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ใจขึ้นอยู่กับจิตและวิจารณญาณความอยากและความต้องการของแต่ละคนในเวลาขณะนั้นที่แตกต่างกันด้วยสติและคุณธรรม…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๗ กันยายน ๒๕๖๔…