…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๑๑…
…ระลึกนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
“โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก”
ความฉลาดทางโลกคือความโง่ในทางธรรม เพราะความฉลาดทางโลกนั้น ประกอบไปด้วยอัตตามานะทิฏฐิเป็นไปเพื่อการยกตนข่มผู้อื่น เป็นไปเพื่อการโอ้อวด เป็นไปเพื่อความเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วนำมาซึ่ง กิเลสตัณหา อุปาทาน เป็นการเพิ่มพูนอกุศลจิตทั้งหลาย
…ความฉลาด มีปัญญาในทางธรรมนั้นคือการมีสติ สัมปชัญญะที่สมบูรณ์รอบรู้ในกองกิเลสทั้งหลาย คือรู้เท่าทันกับกิเลสเห็นทุกข์ เห็นภัย เห็นโทษ เห็นประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ ในสิ่งทั้งหลายเห็นแล้วละวางออกห่างจากอารมณ์ ความรู้สึกที่เป็นอกุศลทั้งหลายละอัตตาและอุปาทาน ดำรงทรงจิตไว้ในกุศลธรรม บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประกอบด้วยองค์แห่งคุณธรรม มีหิริและโอตตัปปะ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา องค์แห่งคุณธรรมคุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะ
…คนพาลและคนโง่ มักคิดว่าตนเองนั้นฉลาดกว่าผู้อื่น เพราะเขาเอาเปรียบผู้อื่นได้ แสวงหาประโยชน์จากผู้อื่นได้โดยสำคัญผิดคิดว่าผู้อื่นโง่กว่าตนรู้ไม่ทันตน ซึ่งแท้จริงแล้ว เขากำลังแสดงความโง่ ความไม่รู้ ความหลงของตนให้ปรากฏออกมา ทางธรรมท่านกล่าวว่า “โง่แล้วอวดฉลาด” คนที่คิดว่าตนเองเก่ง ตนเองฉลาดนั้นคือลักษณะของคนโง่ คนที่ขาดปัญญาทางธรรมจิตใจมืดดำด้วยอวิชชา
… “แกล้งโง่ แกล้งบ้า” เพื่อศึกษาความรู้สึกความคิดของคนรอบข้าง ว่าเขามีความเห็นเป็นอย่างไร เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งถ้าเราแสดงตนว่าเราเก่ง เราฉลาด ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็น เราจะไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างเขาเป็นอย่างไร มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร….
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๒ มีนาคม ๒๕๖๕…