รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๑๒

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๑๒…

…เล่าประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดในการกล่าวธรรมที่ผ่านมาให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลายฟังว่า…

…ในสมัยที่ออกรับงานบรรยายธรรมใหม่ ๆ นั้น เรามีความตั้งใจสูงและหวังผลจากการบรรยายมากเกินไป หวังจะให้ผู้ฟังได้รู้ได้เข้าใจ มีความเจริญก้าวหน้าในธรรม ซึ่งคือการเอาความรู้สึกนึกคิดของเราไปยัดเยียดให้ผู้ฟังรับรู้ ให้เขาเชื่อให้เขาปฏิบัติตาม คือเอาตัณหาของเราไปให้เขาตอบสนอง ไม่ได้กล่าวธรรมเพื่อธรรม เพราะว่าเราคาดหวังผลในการกระทำของเรา คืออยากให้ผู้ฟังนั้นได้รู้ ได้เข้าใจในหลักธรรมแล้วนำไปปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความเจริญในธรรม และเมื่อผู้ฟังไม่รับรู้ไม่เข้าใจและไม่ยอมนำไปปฏิบัติตามที่เราสอน เราก็จะรู้สึกเสียใจ น้อยใจ ไม่พอใจ หรือเมื่อผู้ฟังรับรู้และเข้าใจ น้อมนำไปปฏิบัติตาม จนได้ผลดี มีความก้าวหน้าเจริญในธรรม เราก็หลงยินดีปลื้มใจ พอใจในสิ่งนั้น ก่อเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมาโดยเราไม่รู้ตัว หลงตัวว่าเรานั้นเก่งคิดว่าเรานั้นดีมีความสามารถ

…สิ่งนั้นคือความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าเราไม่ได้กล่าวธรรมเพื่อธรรม แต่เรากล่าวธรรมเพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเราเองมันจึงมีอารมณ์สุขและทุกข์เกิดขึ้นในการกล่าวธรรม แต่ถ้าเรากล่าวธรรมตามธรรมและเพื่อธรรม มันคือการทำหน้าที่ของผู้กล่าวธรรมนั้นให้สมบูรณ์ ไม่ได้คาดหวังผลเป็นไปจากผู้ฟังธรรมใจของผู้กล่าวธรรมนั้นก็จะเป็นสุข เกิดปีติในธรรม ที่ได้กล่าวไปรูปแบบวิธีการถ่ายทอดธรรมนั้นทุกอย่างเหมือนกัน เพียงแต่เจตนาดำริที่แตกต่างกันผลที่เกิดขึ้นนั้นจะแตกต่างกันมากมาย…

…จึงขอฝากไว้เป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจแก่ผู้แสดงธรรมทั้งหลาย โปรดนำไปคิดและพิจารณา ถามใจตนเองว่าเรากล่าวธรรมนั้นเพื่ออะไร สนองตอบตัณหาตนเองหรือไม่ หรือกล่าวธรรมเพื่อธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๓ มีนาคม ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *