…ใคร่ครวญทบทวนธรรมไปตามกาล…
…ในแต่ละวันที่ผ่านไปนั้น ต้องพยายามควบคุมความคิดปรับจิตให้เป็นปกติ มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายให้เป็นธรรมะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง…ตถตา” จะให้ทุกคนเสมอกันในความรู้สึกนึกคิดและจิตสำนึกนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า “บุคคลนั้นแตกต่างกันด้วยธาตุและอินทรีย์” บารมีธรรมที่ได้สั่งสมกันมาและกรรมเก่าของแต่ละคน เขาจึงทำได้และเข้าใจในธรรมไปตามอัตภาพของเขา ซึ่งจะเอาตัวเราคือความคิดและการกระทำของเรานั้นมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ และเมื่อเราเข้าใจในจุดนี้ ทุกอย่างในโลกนี้ “มันล้วนเป็นเช่นนั้นเอง” หน้าที่ของเราคือต้องดูแลตนเอง ดูกาย ดูจิต ดูความคิด และควบคุมจัดระเบียบชีวิตตัวเราเองให้ดีที่สุด นั้นคือทำหน้าที่ของเรานั้นให้สมบูรณ์แบบตามบทบาทและหน้าที่ที่เรารับผิดชอบอยู่ ไม่ทอดทิ้งธุระ วางเฉยเพราะจิตปฏิฆะ หรือว่าเพราะมันไม่เป็นไปตามที่เรานั้นต้องการ
…เคยกล่าวไว้เสมอว่า การปล่อยวางกับการทอดทิ้งธุระนั้น อาการภายนอกคล้ายกัน ดูไม่ออกว่าเป็นการปล่อยวางหรือทอดทิ้งธุระ แต่มันแตกต่างกันที่เจตนาและสาเหตุที่มาของอาการอย่างนั้นซึ่งถ้าเกิดขึ้นเพราะความรู้และความเข้าใจในธรรมและทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว เกิดธรรมสังเวช ยกจิตขึ้นไม่ติดอยู่ในสิ่งที่ได้กระทำนั้นคือการปล่อยวาง แต่ถ้าเกิดจากความรู้สึกที่ไม่ได้ดังที่มุ่งหวังและตั้งใจไว้ มาจากความน้อยใจ เสียใจ ความไม่ได้ดังใจ ไม่อยากที่จะทำ เพราะความเกียจคร้านเบื่อหน่ายที่เป็นอกุศลจิตทั้งหลายอารมณ์เหล่านั้นไม่ใช่การปล่อยวาง แต่มันเป็นการทอดทิ้งธุระเพราะถ้ามันเป็นสิ่งที่เราชอบหรือเรายินดี เรายังมีอารมณ์ร่วมแต่การปล่อยวางนั้น มันจะเสมอกันไปในทุกเรื่องราว…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔…