…จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๖…
…สรุปธรรมะที่ได้จากการเดินทาง เรียนรู้ทุกอย่างที่ได้ประสพมา ปรับเข้าหาหลักธรรม น้อมนำธรรมะมาช่วยสงเคราะห์ญาติโยมในการแก้ไขปัญหาชีวิตแนะนำหลักคิด การทำงาน การบริหารจัดการกับชีวิต ไม่ยึดติดกับรูปแบบ ภาษาและตัวอักษร สอนเขาโดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังกล่าวแนะนำเขานั้นคือหลักธรรม เขาจะเชื่อและจะนำไปปฏิบัติตามเพื่อให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
…แต่ถ้าเราไปบอกว่านี้คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเขาจะเกิดอาการเกร็ง เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าธรรมะเป็นของยิ่งใหญ่ คนที่จะปฏิบัติได้ต้องมีเวลา ต้องรักษาศีล ต้องไปปฏิบัติที่วัด ต้องนุ่งขาวห่มขาว เพราะสิ่งที่เขาเคยได้ยินได้ฟังมา ทำให้เขาสร้างภาพไว้อลังการจนเกินไป จนมองว่าตนเองนั้นยังทำไม่ได้เพราะกิเลสยังหนาอยู่
…หลักธรรมนั้นมีทั้งโลกียะและโลกุตระ ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือนและบรรพชิต ฉะนั้นเราต้องนำเสนอให้เหมาะสมกับบุคคล อย่าเอาธรรมะสำหรับบรรพชิตและนักบวชไปยัดเหยียดให้ฆราวาสผู้ครองเรือนปฏิบัติเพราะมันจะขัดกับวิถีชีวิตประจำวันและการดำเนินชีวิตของเขา เราต้องรู้จักความพอดีและเหมาะสมจังหวะเวลา โอกาส สถานที่และบุคคล ว่าสมควรจะใช้วิธีไหนและทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความเหมาะสมแล้วการนำเสนอธรรมะนั้นจะเป็นไปด้วยดีและมีผู้ปฏิบัติตาม…
…ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ท่านทั้งหลายตามเหตุและปัจจัยที่ท่านทำ
…ขอบคุณการนำเสนอที่ไร้รูปแบบแต่ไม่ไร้สาระแฝงด้วยธรรมะตลอดเวลา
…ขอบคุณสติปัญญาและบุญเก่าที่กระทำมา
…ขอบคุณกาลเวลาที่สอนบทเรียน
…ขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔…