…เคยเบื่อความวุ่นวายของสังคม หลีกเร้นไปอยู่ตามถ้ำในป่าเขาและบนดอยแต่ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ย่อมต้องอยู่ร่วมและอาศัยศรัทธาของผู้คนในถิ่นนั้นในการหาเลี้ยงชีพและเมื่อมีการพบปะกัน ความวุ่นวายย่อมตามมา ปัญหามันมีอยู่ในทุกที่ที่มีคน เมื่อได้รู้และเห็นเป็นอย่างนั้น จึงต้องกลับมาทบทวนใหม่ ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรในสังคมอันวุ่นวาย จึงได้เอาปัจจุบันธรรมนั้นมาคิดพิจารณาเป็นอารมณ์กรรมฐาน…ดูโลกที่เคลื่อนไหว แต่จิตไม่หวั่นไหว นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว…
…เพิ่มกำลังของสัมปชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อม ให้มีกำลังเท่าทันเสมอกันกับกำลังของสติ ลดกำลังของสมาธิซึ่งเป็นสมถะกรรมฐาน ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณด้วยการตามดู ตามรู้และตามเห็น ความเป็นไปของ กาย เวทนา จิต ธรรม มองเห็นคุณเห็นโทษ เห็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ในสรรพสิ่ง มองให้เห็นความเป็นจริงตามกฏของพระไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้และแน่นอนทุกขัง ความเป็นทุกข์ทั้งทางกายและทางใจจากสิ่งนั้น อนัตตา ความเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา เข้าไปยึดถือไม่ได้ เห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่และการดับไปจนเกิดความเข้าในในสรรพสิ่ง เห็นความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายว่า… มันเป็นเช่นนั้นเอง…
…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…