…ปรารภธรรมยามค่ำคืนหลังฟื้นไข้…
…การฟังธรรมนั้น ต้องตั้งใจฟังและพิจารณาตาม จึงจะเข้าใจและได้รับประโยชน์จากการฟังธรรม
…ภาชนะที่รองรับธรรมะนั้นคือใจเรา ถ้าใจยังวอกแวกสอดส่าย ไม่นิ่ง ใจยังแตกร้าวอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะรับรู้และซึมซับเอาธรรมะนั้นได้ เหมือนภาชนะที่รั่วและร้าว เทน้ำลงไป ก็ไม่สามารถที่จะเก็บรองรับเอาน้ำไว้ได้ ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่นิ่ง ความจริงทั้งหลายก็จะไม่ปรากฏ ไม่สามารถที่จะรับเอาสภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นให้คงอยู่ในใจของเราได้ เราจึงต้องมาทำกายใจของเราให้สงบนิ่งเพื่อจะได้รับรู้ความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งหลายนั้น …
…บนหนทางที่เลือกเดิน…
๐ มองดูเหมือนวุ่นวาย
เพราะมากมายหลายหน้าที่
บทบาทนั้นมากมี
ไปตามกาลที่ผ่านมา
๐ ตื่นเช้าเป็นนักคิด
ผู้ลิขิตอักขรา
ร้อยเรียงซึ่งภาษา
เป็นบทความบทกวี
๐ ก่อนจะอรุณรุ่ง
ก็ต้องมุ่งทำหน้าที่
แบบอย่างแห่งวิถี
สมณะพึงกระทำ
๐ ไหว้พระและสวดมนต์
เพื่อฝึกฝนและชี้นำ
ให้เกิดกุศลกรรม
เป็นแบบอย่างในทางดี
๐ กล่าวธรรมกัมมัฏฐาน
เพื่อสืบสานพุทธวิถี
พระเถรและเณรชี
ได้เข้าใจในทางธรรม
๐ สายมาทำหน้าที่
คอยบอกชี้ซึ่งบุญกรรม
กล่าวสอนและชี้นำ
แก่ญาติโยมผู้ศรัทธา
๐ เสร็จกิจพิธีสงฆ์
ก็ยังคงต้องรักษา
สงเคราะห์ผู้ที่มา
สนทนาปรึกษาธรรม
๐ จากเที่ยงจนถึงบ่าย
ที่มุ่งหมายให้แนะนำ
ให้คิดและให้ทำ
เพื่อความสุขความเจริญ
๐ บ่ายสามตามหน้าที่
กล่าววจีเพื่อเชื้อเชิญ
ให้เกิดความเพลิดเพลิน
เจริญจิตภาวนา
๐ กล่าวธรรมกัมมัฏฐาน
เพื่อสืบสานศาสนา
ต่อเติมเสริมปัญญา
แด่ผู้ใคร่ใฝ่ในธรรม
๐ เย็นย่ำเมื่อค่ำลง
ก็ยังคงต้องชี้นำ
สิ่งชอบประกอบกรรม
นำไหว้พระและสวดมนต์
๐ จนถึงสามทุ่มครึ่ง
เวลาซึ่งเป็นมงคล
พอเพียงด้วยเหตุผล
เลิกประชุมแยกย้ายกัน
๐ กลับมาทำหน้าที่
ตามวิถีที่มุ่งมั่น
ทบทวนถึงคืนวัน
ที่ผ่านพ้นล่วงเลยมา
๐ บันทึกเป็นบทความ
และเขียนตามซึ่งเนื้อหา
เหตุการณ์ที่ผ่านมา
เป็นบทความบทกวี
๐ เที่ยงคืนดึกสงัด
จึงจำวัตรเสร็จหน้าที่
ผ่านพ้นไปด้วยดี
ชีวิตนี้ในหนึ่งวัน….
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕…