…การรักษาศีลนั้น เราอย่าไปยึดติดกับถ้อยคำและตัวอักษรให้มากเกินไปมันอยู่ที่ใจของเรา เพราะว่าการรักษาศีลนั้น คือการมีสติและสัมปชัญญะอยู่กับกายและใจของเรา (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าใจอยู่กับกับเนื้อกับตัว) รู้ว่าเรากำลังทำอะไรและสิ่งที่เราทำนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
…ถ้าเป็นอกุศลก็ไม่ควรกระทำ ควรงดเว้นการที่เราหักห้ามใจในอกุศลได้นั้นทำให้เกิดคุณธรรม คือหิริและโอตตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) ศีลจะสมบูรณ์ได้นั้น ต้องประกอบด้วยคุณธรรม คือมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีสติและสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
…ฉะนั้น การรักษาศีลจึงเป็นการฝึกสติไปในตัวและศีลนั้นจะสมบูรณ์ด้วยการมีสติและสัมปชัญญะ เมื่อเรามีกำลังของสติที่สมบูรณ์แล้ว การภาวนาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสติที่มีกำลังนั้น สามารถที่จะเข้าไปจับองค์ภาวนาได้อย่างมั่นคง
…ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้คือทำตามไตรสิกขา ทั้งของฆราวาสหรือของบรรพชิต แล้วแต่สถานะของเรา อย่าได้ลัดขั้นตอน อย่าไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เพียงแต่เราอย่าไปติดยึดในรูปแบบของตัวอักษรจนมากเกินไป เพราะถ้าเราไปยึดติดในสิ่งนั้นมันจะดูว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และทำได้ยาก เกินกำลังของตัวเรา เราจึงไม่พร้อมที่จะปฏิบัติ
…”ธรรมนั้นเริ่มจากใจ ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน” จึงขอให้เราท่านทั้งหลายมาทำความรู้ ความเข้าใจเพื่อที่จะได้นำไปสู่การปฏิบัติ พัฒนาทางจิต เพื่อชีวิตที่ดีงามในโอกาสต่อไป…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕…