…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๒๐…
…วันเวลาแห่งชีวิตของทุกคนนั้นสั้นลงทุกขณะทุกชีวิตกำลังเดินไปสู่ความตาย จะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของแต่ละคนที่ได้ทำมา ซึ่งแตกต่างกันแต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วนั้น ทุกคนก็ไม่อาจจะหนีพ้นความตายไปได้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนั้นมันสั้นลงในทุกวินาทีที่ผ่านเลยไปจงใช้เวลาที่เหลืออยู่นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมให้มากที่สุดเท่าที่เรานั้นจะทำได้อย่าได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่าโดยไร้สาระ ทบทวนใคร่ครวญในสิ่งที่ผ่านมา ว่าเรานั้นได้สร้างได้ทำอะไรมาบ้างแล้ว เรามีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราได้สร้างได้ทำมาแล้วหรือไม่ ชีวิตนี้มีความทรงจำที่ดีเก็บไว้แล้วหรือยัง…
…รุ่งอรุณแห่งชีวิตในทิศทางใหม่…
…รุ่งอรุณ วันใหม่ ฟ้าใสสด
ฟ้างามงด ด้วยแสงทอง ที่ส่องฉาย
ลมอ่อนอ่อน พัดผ่าน ให้สบาย
ปลุกใจกาย ให้ตื่น รับตะวัน
…เมื่อแสงเงิน แสงทอง ส่องขอบฟ้า
เหล่าวิหก นกกา ต่างสุขสันต์
ต่างส่งเสียง สื่อสาร ประสานกัน
ต้อนรับวัน ฟ้าใหม่ ที่ใกล้มา
…บรรยากาศ เป็นใจ ให้เหมาะสม
ฝากสายลม ผ่านร่มไม้ จากภูผา
ร่ายกวี สุนทร เป็นกลอนมา
ส่งฝากฟ้า ผ่านสายลม ให้ชมกัน
…ชีวิตนี้ มีอะไร มากมายนัก
หากรู้จัก ค้นคิด จิตสร้างสรรค์
ไม่ปล่อยเปล่า ล่วงไป ในคืนวัน
อย่าให้มัน ผ่านไป โดยไร้การ
…จงทบทวน ถึงชีวิต ที่ผ่านมา
จะได้เห็น คุณค่า มหาศาล
จงเก็บเกี่ยว สิ่งที่พบ ประสพการ
สิ่งที่ผ่าน มาพินิจ คิดใคร่ครวญ
…เพื่อจะเดิน ก้าวไป สู่ข้างหน้า
วันเวลา ผ่านไป ไม่กลับหวน
ทำอะไร ให้ใจรู้ สิ่งคู่ควร
จงทบทวน ฝึกจิต คิดให้เป็น
…จงรู้จัก แยกแยะ ดีและชั่ว
สิ่งที่ตัว นั้นได้รู้ และได้เห็น
สิ่งที่ทำ สิ่งที่คิด จิตที่เป็น
มองให้เห็น ตัวตน ค้นให้เจอ
…มีสติ รู้ตัว อยู่ทั่วพร้อม
มีใจน้อม สู่ธรรม ไม่พลั้งเผลอ
รู้เท่าทัน กับจิต เมื่อเจอะเจอ
รู้เสมอ รู้ทัน กับอารมณ์
…รู้อะไร ก็ไม่สู้ เท่ารู้จิต
รู้ความคิด สิ่งผิด จิตนั้นข่ม
อะไรดี อะไรชอบ จงชื่นชม
ฝึกอบรม ข่มจิต ให้คิดดี…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๓ สิงหาคม ๒๕๖๕…