…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๕๐…
…”จะรู้ว่าใครมีศีลหรือไม่ต้องอยู่ร่วมกันนาน ๆ
…จะรู้ว่าใครมือสะอาดหรือไม่ต้องดูที่การทำงาน
…จะรู้ว่าใครมีปัญญาหรือไม่ต้องดูที่การสนทนา
…จะรู้ว่าใครมีกำลังใจเข้มแข็งหรือไม่ต้องดูที่คราวคับขัน”…
…แสงสว่างบนเส้นทางของชีวิต…
๐ วิเวกกาย จากหมู่ สู่สงบ
จึงได้พบ วิเวกจิต นิมิตใหม่
สงบจิต สงบกาย อยู่ภายใน
เฝ้าดูใจ ภาวนา หาแก่นธรรม
๐ นิ่งแล้วดู รู้เห็น จึงเด่นชัด
และคอยตัด อบาย ไม่กรายกล้ำ
ให้เป็นไป ตามหน ผลแห่งกรรม
สิ่งที่ทำ นั้นชอบ ประกอบการ
๐ ผ่านวิตก วิจารณ์ การครวญคิด
แล้วดวงจิต เกิดปีติ ให้อาจหาญ
เข้าสู่สุข ต่อไป ไม่ช้านาน
จิตก็ผ่าน สู่สงบ พบหนทาง
๐ เห็นแสงทอง แสงธรรม นำชีวิต
เห็นถูกผิด จิตนั้น พลันเปิดกว้าง
รู้จักการ ปล่อยปละ และละวาง
จิตออกห่าง จากอบาย คลายกังวล
๐ อวิชชา มืดมิด เคยผิดพลาด
ก็สามารถ รู้ได้ โดยเหตุผล
เห็นอัตตา ความยึดถือ ในตัวตน
เห็นมรรคผล ต้นแสง แห่งพระธรรม
๐ พบหนทาง สร้างจิต ชีวิตใหม่
ที่จะให้ ชีวิตนี้ ไม่ตกต่ำ
เป็นหนทาง ที่ชอบ ประกอบกรรม
แล้วน้อมนำ ปฏิบัติ เพื่อขัดเกลา
๐ ขัดเกลาจิต และกาย ให้สดใส
ขัดเกลาใจ มิให้ ไปโง่เขลา
สำรวมจิต สำรวมกาย ในตัวเรา
นำจิตเข้า สู่ธรรม ดำรงตน
๐ มีมรรคแปด เป็นแนวทาง ที่ย่างก้าว
เพื่อสืบสาว ให้เห็น เป็นเหตุผล
วิริยะ พากเพียร บำเพ็ญตน
ด้วยหวังความ หลุดพ้น “พระนิพพาน”…
…แด่แสงสีทองที่ส่องขอบฟ้าที่ทำให้เข้าใจสัจธรรม…
…ศรัทธาในหลักธรรมคำสอนของพระศาสดา จะน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสตน…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม..
…๓ กันยายน ๒๕๖๕…