ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๖๕

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๖๕…

…เมื่อมีการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำ ซึ่งผลของการกระทำนั้นจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ จังหวะเวลา โอกาส สถานที่ ตัวบุคคลและเจตนาแห่งการกระทำนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดผลซึ่งแต่ละคนย่อมมีเหตุและปัจจัยที่แตกต่างกัน ทำให้ความรู้ ความเห็นและความเข้าใจนั้น แตกต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย ไม่มีใครคิดเห็นถูกไปเสียทั้งหมดและไม่มีใครผิดไปทั้งหมด เพราะความคิดเห็นของแต่ละคนนั้นเป็นปัจเจก จึงไม่มีอะไรดีที่สุดและอะไร ถูกต้องที่สุด มีเพียงความเหมาะสมกับจังหวะ เวลา โอกาสสถานที่และตัวบุคคล ” สัพเพ ธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา แปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย เป็นไปตามความเหมาะสม

…พิจารณาทำความรู้ความเข้าใจใน
ทุกสรรพสิ่ง ในความเป็นจริงของชีวิต
คิดทุกอย่างเข้าหาหลักธรรมให้เห็นว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสพพบเห็นนั้น

…มันเป็นเช่นนั้นเอง…เมื่อเข้าใจทุก
อย่างก็จบ มันมีคำตอบอยู่ในตัวของ
มันเอง ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปกังวล
ไม่ต้องไปค้นหา เพราะว่า…ตถตา…
มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง…

…นี้คือที่มาของชื่ออาศรมตถตาอาศรม
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง…

…ผิดเป็นครู รู้แล้วจำ จะไม่กระทำผิดอีก
เป็นครั้งที่สอง ท่องให้ขึ้นใจ แล้วนำไป
ปฏิบัติ เตือนตัว เตือนตนอยู่เสมอ
ไม่ให้เผลอขาดสติ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๘ กันยายน ๒๕๖๕…