…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๕๑…
…งานที่ใช้กำลัง ถ้าเราไม่ระวังสำรวมสติจิตจะหยาบ ในการทำงานที่ต้องใช้แรงงานนั้น มันย่อมมีผลต่อร่างกายและจิตใจ และต้องใช้ความอดทนที่สูงมาก ถ้าขาดสติตามรู้ตามเห็นไม่ทันกิเลสนั้นจะแสดงออกมาความเอาแต่ใจตัวเอง ความเห็นแก่ตัวความน้อยใจ ความเสียใจ ความมักง่ายความขี้เกียจ ความโกรธ จะปรากฏขึ้น
…ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกิเลสมันถูกเผาให้เร้าร้อน มันถูกกระตุ้นด้วยความเหนื่อย ความร้อน ความหิวกระหายความที่ไม่ได้ตามที่ใจปรารถนา
…การทำงานก็คือการสอบอารมณ์ของเรา เพราะเราต้องเผชิญกับความเป็นจริงและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันคือชีวิตจริง สิ่งที่เราต้องประสพพบอยู่ทุกวันในการดำเนินชีวิตของเรา
…ขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนานั้น มันไม่มีผัสสะของจริงมากระทบ เราอยู่กับความสงบ กิเลสมันถูกกดทับด้วยอารมณ์สมาธิมันจึงมองไม่เห็นกิเลสและอาจจะหลงคิดไปว่าไม่มีกิเลสแล้ว เพราะอารมณ์ในสมาธินั้น มันเป็นโลกส่วนตัวของเราเฉพาะตัวเรา
…แต่เมื่อเราออกจากอารมณ์สมาธิแล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง คือปัจจุบันธรรมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งมันมีทั้งแรงดูดและแรงต้าน ให้เราคล้อยตามหรือปฏิเสธ ถ้าสติและสัมปชัญญะมีกำลังอ่อน เราก็จะถูกกิเลสเข้าครอบงำคล้อยตามกิเลสที่เกิดขึ้น แต่ถ้ากำลังของสติสัมปชัญญะมีความสมบูรณ์เราจะรู้เท่าทันกิเลสนั้นและจะปฏิเสธไม่คล้อยตามมัน…
…“ไม่มีใครรู้ซึ้งเท่าหนึ่งจิต” เราต้องรู้จักตัวเรา เพราะไม่มีใครจะรู้เหตุและผลของตัวเราเท่ากับตัวเรา เราเองต้องเป็นผู้สอบอารมณ์ของตัวเรา ไม่ต้องให้ใครเขามาสอบอารมณ์ของตัวเรา
…“จงรู้จักกาย รู้จักจิต รู้จักความคิดและรู้ในสิ่งที่กระทำ” เราจึงจะไม่หลงทางหลงตัวเอง หลงกิเลสและการสอบอารมณ์ที่ดีที่สุดก็คือการทำงาน ที่ต้องใช้กำลังแรงงานร่วมกับผู้อื่น เพราะเราจะได้เจอผัสสะ(สิ่งที่มากระทบ)ทั้งภายนอกและภายใน เราจะได้เห็นความหวั่นไหวและความสงบนิ่งของเรา
…ซึ่งมันคือของจริง คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ แล้วเราจะได้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมันก้าวหน้าไปถึงไหน “รู้ได้ เมื่อภัยมา ปัญหาไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด” ไม่ใช่นั่งคิดนั่งฝันว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้มันต้องมีของจริงมาพิสูจน์ มาทดสอบอารมณ์ของเรา…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๑ เมษายน ๒๕๖๕…