…พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาของเหตุและผล ซึ่งจะพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำไม่ใช่ศาสนาที่เป็นเรื่องของศรัทธา ที่สอนให้เชื่อแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งมีพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคมคือ “กาลามสูตร” อันเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ ซึ่งมีหลักอยู่ ๑๐ ประการคือ…
๑. อย่าเชื่อตามที่ฟังๆกันมา
๒. อย่าเชื่อตามที่ทำต่อๆกันมา
๓. อย่าเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเชื่อดดยนึกเอา
๖. อย่าเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเชื่อเพราะรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐ .อย่าเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูอาจารย์ของตน
…คือหลักการสอนให้ทุกคนคิดและพิจารณา ค้นคว้าและทดลองปฏิบัติเพื่อความเห็นชัดคือสอนให้คิดเป็น ทำเป็นเพราะว่า การเชื่่อทันทีนั้นมันอาจจะนำไปสู่ความงมงายและความโง่ เพราะคิดเองไม่เป็น ต้องให้ผู้อื่นคิดให้หรือชี้แนะอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในชีวิตจริงนั้นเราต้องช่วยเหลือตัวของเราเองคือต้องทำด้วยตัวของเราเองตลอด ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “อัตตา หิ อัตตา โน นาโถ…ตนเป็นที่พึ่งของตน” ผู้อื่นเป็นได้เพียงผู้ชี้แนะและนำทาง แต่การจะก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่ที่ตัวเรา ว่าจะก้าวขาเดินตามไปหรือไม่ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับตัวเรา ที่จะทำหรือไม่ทำ…
…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔…