…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๑๕…
…ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นมันอยู่ที่ทุกคนจะคิดและทำหรือไม่อย่าได้น้อยใจและโทษวาสนาบารมีต่อว่าตัวเรานั้นว่าไม่ดีไม่มีอำนาจวาสนาเพราะว่าการทำอย่างนั้นเท่ากับการแช่งตัวเอง ขาดความศรัทธาเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง ซึ่งมันจะทำให้มีแต่ความเสื่อมถอยไม่มีความเจริญ…
…หลากหลายบทบาทและลีลาของชีวิต บนหนทางที่เลือกเดิน…
๐ มองดู เหมือนวุ่นวาย
เพราะมากมาย หลายหน้าที่
บทบาท นั้นมากมี
ไปตามกาล ที่ผ่านมา
๐ ตื่นเช้า เป็นนักคิด
ผู้ลิขิต อักขรา
ร้อยเรียง ซึ่งภาษา
เป็นบทความ บทกวี
๐ ก่อนจะ อรุณรุ่ง
ก็ต้องมุ่งทำหน้าที่
แบบอย่าง แห่งวิถี
สมณะ พึงกระทำ
๐ ไหว้พระ และสวดมนต์
เพื่อฝึกฝน และชี้นำ
ให้เกิด กุศลกรรม
เป็นแบบอย่าง ในทางดี
๐ กล่าวธรรม กัมมัฏฐาน
เพื่อสืบสาน พุทธวิถี
พระเถร และเณรชี
ได้เข้าใจ ในทางธรรม
๐ สายมา ทำหน้าที่
คอยบอกชี้ ซึ่งบุญกรรม
กล่าวสอน และชี้นำ
แก่ญาติโยม ผู้ศรัทธา
๐ เสร็จกิจ พิธีสงฆ์
ก็ยังคง ต้องรักษา
สงเคราะห์ ผู้ที่มา
สนทนา ปรึกษาธรรม
๐ จากเที่ยง จนถึงบ่าย
ที่มุ่งหมาย ให้แนะนำ
ให้คิด และให้ทำ
เพื่อความสุข ความเจริญ
๐ บ่ายสาม ตามหน้าที่
กล่าววจี เพื่อเชื้อเชิญ
ให้เกิด ความเพลิดเพลิน
เจริญจิต ภาวนา
๐ กล่าวธรรม กัมมัฏฐาน
เพื่อสืบสาน ศาสนา
ต่อเติม เสริมปัญญา
แด่ผู้ใคร่ ใฝ่ในธรรม
๐ เย็นย่ำ เมื่อค่ำลง
ก็ยังคง ต้องชี้นำ
สิ่งชอบ ประกอบกรรม
นำไหว้พระ และสวดมนต์
๐ จนถึง สองทุ่มครึ่ง
เวลาซึ่ง เป็นมงคล
พอเพียง ด้วยเหตุผล
เลิกประชุม แยกย้ายกัน
๐ กลับมา ทำหน้าที่
ตามวิถี ที่มุ่งมั่น
ทบทวน ถึงคืนวัน
ที่ผ่านพ้น ล่วงเลยมา
๐ บันทึก เป็นบทความ
และเขียนตาม ซึ่งเนื้อหา
เหตุการณ์ ที่ผ่านมา
เป็นบทความ บทกวี
๐ เที่ยงคืน ดึกสงัด
จึงจำวัตร เสร็จหน้าที่
ผ่านพ้น ไปด้วยดี
ของชีวิต ในหนึ่งวัน….
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕…