…คิดไป เขียนไป บทที่ ๒๔…
…เรื่องศีลข้อวัตรและพระวินัยนั้นเป็นไปเพื่อการเจริญสติและสัมปชัญญะ โดยมีหิริและโอตตัปปะซึ่งเป็นองค์แห่งคุณธรรมนั้นควบคุมคุ้มครองอยู่เพราะการที่เราจะทรงไว้ซึ่งศีลและวินัยนั้นได้ เราจะต้องมีสติและสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะจิตระลึกรู้ในทางกายและทางจิตในสิ่งที่คิดและในกิจที่ทำ
…การที่เราไม่ก้าวล่วงล้ำพระธรรมพระวินัย ศีลและข้อวัตรทั้งหลายนั้นเพราะเรามีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ต่ออกุศลกรรม การล่วงละเมิดทั้งหลาย ทำให้การรักษาศีลนั้น จึงเป็นการเจริญสติและสัมปชัญญะและเพิ่มกำลังขององค์แห่งคุณธรรมอยู่ทุกขณะจิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในหลักของการปฏิบัติเรื่องไตรสิกขาอันได้แก่ “ศีล สมาธิ ปัญญา” แต่เรามักกลับทำลัดขั้นตอนเพราะใจร้อน อยากจะเห็นผลของความสำเร็จนั้นโดยเร็วไวจึงไม่ค่อยจะใส่ใจในเรื่องของศีลไปเน้นหนักเรื่องจิตเรื่องการภาวนาให้เกิดสมาธิมากเกินไป จึงทำให้จิตสำนึกแห่งคุณธรรมนั้น มีกำลังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสตัณหาทั้งหลายได้
…จิตระลึกนึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่ท่านได้กล่าวสอนไว้ว่า “รู้ไปหมดแต่อดไม่ได้” ซึ่งมันได้เกิดขึ้นแล้วกับตัวของเรา ขบวนการทางจิตนั้นมันละเอียดอ่อน ทุกขั้นตอนของการปฏิบัติเพื่อพัฒนาทางจิตนั้นจึงต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอข้ามและลัดขั้นตอนนั้นไม่ได้เลยเพื่อเป็นการทำให้เกิดการสั่งสมอบรมจิต ให้รู้จักคิด รู้จักการพิจารณาเหมือนดั่งคำที่ว่า “ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด” คือเราต้องเรียนรู้เรื่องทุกข์จากทุกข์เรียนรู้ตัณหาจากตัณหา ทุกข์ละทุกข์ตัณหาละตัณหา คือต้องเห็นของจริงเสียก่อน เมื่อเห็นแล้ว ต้องทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้ชัดแจ้ง เห็นที่เกิดของสิ่งนั้น รู้และเข้าใจแล้ว จึงเข้าไปจัดการกับมัน ซึ่งการที่จะเข้าไปจัดการ ลด ละ เลิก ปล่อยวางได้นั้นขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของแต่ละท่านในขณะนั้น ว่ามีกำลังมากน้อยเพียงใด…
…ด้วยความปรารถนาดีที่เป็นกุศลธรรมทั้งหลาย…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕…