จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๖

…จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๖…

…เรียบเรียงธรรมเป็นคำกวี…

๐ มองโลก และมองธรรม
แล้วน้อมนำ มาปรับใช้
กับสิ่ง ที่เป็นไป
เพื่อให้เหมาะ สมกับกาล

๐ สติ ระลึกรู้
การตามดู จิตเป็นงาน
รู้ตน รู้ประมาณ
นั้นคือผู้ ประพฤติธรรม

๐ รู้กาย และรู้จิต
รู้ที่คิด รู้ที่ทำ
รู้ชอบ ประกอบกรรม
สิ่งนั้นหรือ คือความดี

๐ ความดี เริ่มที่จิต
เริ่มจากคิด ไม่ผิดที่
คิดดี และพูดดี
สิ่งที่คิด กิจที่ทำ

๐ รู้ธรรม และเห็นธรรม
ถ้าไม่ทำ ก็ก่อกรรม
รู้แล้ว ไม่น้อมนำ
เกิดผิดพลาด ให้เสียงาน

๐ รอยทางและรอยธรรม
ได้น้อมนำ ธรรมกล่าวขาน
บอกเล่า ประสพการ
ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจง

๐ มากมาย หลายมุมมอง
ที่กลั่นกรอง มาแถลง
บอกเล่า ความเปลี่ยนแปลง
บนหนทาง ที่ผ่านมา

๐ ให้รู้ และให้คิด
ให้พินิจ ให้ศึกษา
เสริมสร้าง ทางปัญญา
เพิ่มทักษะ ให้แก่ตน

๐ เป็นคน ควรจะคิด
ให้ชีวิต มีเหตุผล
คุ้มค่า คำว่าคน
พิสูจน์ได้ ด้วยเวลา…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๔ มกราคม ๒๕๖๕…

บันทึกธรรมย้ำเตือนตน

…บันทึกธรรมย้ำเตือนตน…

…อดีตคือความทรงจำ ปัจจุบันคือความเป็นจริง อนาคตคือความฝันและจินตนาการ คือคำพูดและโวหารในเชิงกวีที่กล่าวกันมาแต่ในความเป็นจริง

…จงทำจิตให้หยุดนิ่งแล้วขจัดสิ่งที่เป็นขยะของอารมณ์ออกไปคงเหลือไว้แต่สิ่งที่ดีมีสาระมีประโยชน์ไม่เป็นทุกข์ เป็นภัยเป็นโทษต่อกุศลทั้งหลายเพื่อให้มีความเจริญในธรรมรุดหน้ายิ่งๆขึ้นไป

…มองดูโลกที่สับสนวุ่นวายให้คล้ายดูหนังดูละคร ทุกบททุกตอนล้วนแล้วแต่มายาที่ถูกกำหนดมาด้วยกฎแห่งกรรมพยายามทำจิตใจให้อยู่เหนือโลกธรรม ๘ ทวนกระแสแห่งโลกมายา แล้วเราจะพ้นจากความทุกข์ความเศร้าความโศกจากโลกมายานี้ได้…

…ทุกชีวิตย่อมมีจุดหมายอย่าปล่อยให้ผ่านไปโดยไร้ค่าอย่าปล่อยวันเวลาให้สูญเปล่าชีวิตเรานั้นควรจะมีเป้าหมายฝันนั้นอาจจะตั้งไว้ไม่ไกลแต่เรานั้นต้องเดินไปให้ถึงทำซึ่งความฝันนั้นให้เป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินจะกระทำ

…หนทางสู่ความสำเร็จนั้นอาจจะยังอยู่อีกยาวไกลแต่จงอย่าได้หวั่นไหวท้อใจขอเรามีความตั้งใจที่มั่นคงเดินในเส้นทางที่ตรงสู่ความฝันระยะทางสู่ความสำเร็จนั้นมันย่อมสั้นลงมาทุกขณะอย่าไปสนใจในระยะของเส้นทาง

…ทุกอย่างย่อมจะมีความสำเร็จได้ถ้าหากเรานั้นมีความตั้งใจและพยายามเดินตามความฝันของเรานั้นต่อไปไม่ท้อถอยหรือหวั่นไหวกับอุปสรรคปัญหามีความศรัทธาและเชื่อมั่นในความดีที่กระทำสิ่งนั้นย่อมจะนำไปสู่ความสำเร็จของชีวิตในสิ่งที่ตนคิดและกิจที่ตนนั้นปรารถนาเพราะว่าความสำเร็จของชีวิต

…อยู่ที่จิตคิดว่าพอ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕…

คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๑

…คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๑…

…”ความพยายามพวกเธอต้องทำเอาเอง ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกเท่านั้น”
“ตุมฺเหหิ กิจฺ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา”…
…พุทธภาษิต ธรรมบท ๒๕/๔๓…

…ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกนั้นทุกคนย่อมจะมีจิตสำนึกแห่งความใฝ่ดีซ่อนอยู่เสมอ เพียงแต่บางครั้งยังไม่ได้แสดงออกมา เพราะเงื่อนไขของเรื่องจังหวะ เวลา โอกาส สถานที่และตัวบุคคลนั้น ยังไม่เอื้ออำนวย ไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกมาได้ในสิ่งนั้น

อ่านเพิ่มเติม “คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๑”

จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๕

…จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๕…

…ยามอุษาฟ้าสว่างที่วัดลาดเค้า…

…คือแสงธรรม แสงทอง ที่ส่องมา
เปิดม่านฟ้า ที่มืดมิด ให้สดใส
ปลุกพลัง แรงกาย และแรงใจ
เช้าวันใหม่ ชีวิตใหม่ ต้องก้าวเดิน

…นิ่งสงบ เหมือนหลัก ที่ปักไว้
นิ่งสงบ ภายใน ไม่เก้อเขิน
เจริญสุข เจริญธรรม จิตเพลิดเพลิน
เพราะก้าวเดิน ตามมรรค องค์สัมมา

…ฟ้ากับน้ำ ยามเช้า ช่วยปลุกจิต
ปลุกชีวิต ให้เร่งรีบ แสวงหา
ให้รู้จัก ตัวตน คืออัตตา
ทั้งกิเลส ตัณหา ที่มันมี

…ดูกายใจ กายจิต คิดวิเคราะห์
ดูให้เหมาะ ให้เห็น ในสิ่งนี้
เดินตามทาง ตามมรรค ทุกวิธี
ทำให้มี ทำให้เห็น ความเป็นจริง

…สรรพสิ่ง ล้วนแล้ว เกิดและดับ
เปลี่ยนสลับ กันไป ในทุกสิ่ง
ตามหลักธรรม นำสร้าง และอ้างอิง
เมื่อจิตนิ่ง ใจสงบ ก็พบธรรม

…ธรรมทั้งหลาย อยู่ที่กาย และที่จิต
เพ่งพินิจ มองให้เห็น ความลึกล้ำ
ไปตามแรง แห่งกุศล ผลของกรรม
สิ่งที่ทำ นั้นเริ่ม จากตัวเรา…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๓ มกราคม ๒๕๖๕…

คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๐

…คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๐…

…จงกล่าวธรรม เพื่อธรรม กล่าวธรรมโดยธรรม ทำหน้าที่โดยการกล่าวธรรมซึ่งต้องให้เหมาะสมกับจังหวะ เวลา โอกาสสถานที่และบุคคล คือต้องรู้จักกาละเทสะไม่กล่าวธรรมพร่ำเพรื่อ ต้องให้เหมาะกับกาลการกล่าวธรรมนั้นจึงจะบังเกิดผล ก่อให้เกิดความเจริญในธรรมและได้รับการสนองตอบเพราะชอบด้วยกาล เวลา คือถูกที่ ถูกทางและถูกธรรม…

อ่านเพิ่มเติม “คิดไป เขียนไป บทที่ ๑๐”

รำพึงธรรมในยามค่ำคืน

…รำพึงธรรมในยามค่ำคืน…

…ในคืนวันพระขึ้นแปดค่ำ
หลังจากพระอาทิตย์ลาลับไปจากขอบฟ้า
เป็นเวลาของดวงดาวที่ได้ทอแสงประกาย
ระยิบระยับบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆหมอก
บ่งบอกว่าคือเวลาแห่งดาวจรัสแสง
ลมที่พัดจากชายน้ำนำความเย็นมาเยือน
สมณะกลุ่มหนึ่งนั่งเจริญภาวนาที่ลานธรรม

…ในค่ำคืนขึ้นแปดค่ำที่เงียบสงบ
น้อมจิตมาพิจารณาค้นหาสัจธรรม
สรรพสิ่งรอบกายนั้นยังคงเคลื่อนไหว
แต่สภาวะภายในนั้นกลับสงบนิ่ง
เห็นความเป็นจริงของการเกิดดับ
ทั้งสิ่งที่เป็นกุศลและสิ่งที่เป็นอกุศล
เมื่อรู้เห็นและเข้าใจแล้วจิตก็ปล่อยวาง

…ทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕…

จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๔

…จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๔…

“ธรรมชาติของจิตย่อมผุดผ่อง แต่เศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา”
“ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข
อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ”
…พุทธสุภาษิต เอกนิบาต ๒๐/๙…

…มนุษย์ทุกคนมีความคิด ถูกหรือผิด ต่างรู้อยู่แก่ใจ แต่ที่ยังกระทำลงไปในสิ่งผิด เป็นเพราะขาดจิตสำนึกแห่งคุณธรรม ที่จะหักห้ามมิให้กระทำผิด

อ่านเพิ่มเติม “จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๔๔”

คิดไป เขียนไป บทที่ ๙

…คิดไป เขียนไป บทที่ ๙…

…ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้อย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับผู้ใดขอให้ศรัทธาในธรรมะที่เขากล่าวให้มากกว่าตัวของผู้กล่าวธรรมแล้วท่านจะไม่เสียใจเมื่อผู้กล่าวธรรมนั้นแปรเปลี่ยนไป

…จงให้ความสำคัญในธรรมของพระพุทธองค์ที่มีผู้นำมากล่าวมากกว่าตัวของผู้กล่าวธรรมจงเอาที่ธรรมะ อย่าไปเอาที่ตัวบุคคล แล้วจะทำให้ท่านไม่เสียใจหรือเสียความรู้สึกเมื่อผู้ที่กล่าวธรรมนั้นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป …

อ่านเพิ่มเติม “คิดไป เขียนไป บทที่ ๙”