เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๐

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๐…

…การทำงานทุกอย่างเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นคือการเจริญกุศลจิต เจริญสติและสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะจิต มีความระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทั้งในการคิดและการกระทำ ซึ่งคนทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มีความคิด มีสติ แต่สิ่งที่ขาดไปคือกุศลจิต ซึ่งเป็นคุณธรรมคุ้มครองจิตไม่ให้คิดไปในทางที่ผิด รู้จักหักห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล รู้จักวางตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปนั้นเกิดจากพื้นฐานของคุณธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละคนดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า…บุคคลแตกต่างด้วยธาตุและอินทรีย์ บารมีที่สร้างสมกันมา

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๐”

ความเบื่อหรือความอยาก เกิดจากจิต

…ความเบื่อหรือความอยาก เกิดจากจิต…

…เบื่อเบื่อ อยากอยาก หลายครั้ง…..เมื่อยัง ฝึกฝน ใหม่ใหม่
หลบหลีก อยู่ตาม พงไพร…..หวั่นไหว ต่อโลก มายา
ไม่ว่า จะอยู่ ที่ไหน…..ไม่ไร้ วุ่นวาย ปัญหา
เพราะต้อง พบปะ พึ่งพา…..ศรัทธา หาเลี้ยง ชีพตน
มีคน ก็มี ปัญหา…..เพราะว่า หลบหลีก ไม่พ้น
จึงต้อง ฝึกความ อดทน…..ฝึกจน ให้เกิด ชำนาญ
ตามดู ตามรู้ ตามเห็น…..ให้เป็น อารมณ์ กรรมฐาน
รู้กาย รู้จิต เหตุการณ์…… คิดอ่าน อารมณ์ ปัจจุบัน
รู้ตัว รู้ทั่ว รู้พร้อม….. นำน้อม ความคิด สร้างสรรค์
ตามดู รู้จิต ให้ทัน……สิ่งนั้น วิปัส-สนา
ถอนจิต จากความ สงบ…..เมื่อพบ กับตัว ปัญหา
แก้ไข โดยใช้ ปัญญา……มองหา ให้เห็น เป็นจริง
มองให้ เห็นคุณ และโทษ……ประโยชน์ หรือไม่ ในสิ่ง
รู้เห็น ตามความ เป็นจริง……จิตนิ่ง ก็มอง เห็นธรรม
เห็นการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่…….และรู้ การดับ ลึกล้ำ
ชั่วดี ก่อเกิด บุญกรรม……น้อมนำ สู่จิต คิดตาม
เคลื่อนไหว แต่ไม่ หวั่นไหว…..ถ้าใจ มั่นใน ข้อห้าม
เฝ้าดู จิตอยู่ ทุกยาม…..เดินตาม ธรรมะ ชี้นำ
…เคลื่อนไหว วุ่นวาย สับสน…..เหตุผล ปัญหา ตอกย้ำ
มนุษย์ เป็นไป ตามกรรม……ใครทำ ต้องรับ กรรมไป….

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…

เคยเบื่อความวุ่นวายของสังคม

…เคยเบื่อความวุ่นวายของสังคม หลีกเร้นไปอยู่ตามถ้ำในป่าเขาและบนดอยแต่ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ย่อมต้องอยู่ร่วมและอาศัยศรัทธาของผู้คนในถิ่นนั้นในการหาเลี้ยงชีพและเมื่อมีการพบปะกัน ความวุ่นวายย่อมตามมา ปัญหามันมีอยู่ในทุกที่ที่มีคน เมื่อได้รู้และเห็นเป็นอย่างนั้น จึงต้องกลับมาทบทวนใหม่ ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรในสังคมอันวุ่นวาย จึงได้เอาปัจจุบันธรรมนั้นมาคิดพิจารณาเป็นอารมณ์กรรมฐาน…ดูโลกที่เคลื่อนไหว แต่จิตไม่หวั่นไหว นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว…

อ่านเพิ่มเติม “เคยเบื่อความวุ่นวายของสังคม”

วันเวลาของชีวิตและทิศทาง

…วันเวลาของชีวิตและทิศทาง…

…วันเวลา ผ่านไป ไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่ง เคลื่อนไหว ในทุกหน
แม้นแต่จิต และใจ ภายในตน
ยังดิ้นรน ไขว่คว้า หาทางไป

…ภายนอกนั้น อาจจะดู ว่าสงบ
แต่ค้นพบ ว่าจิตนั้น ยังหวั่นไหว
กระแสโลก ที่กระทบ จบที่ใจ
จิตหวั่นไหว เพราะว่าใจ ไม่มั่นคง

…จึงตามดู ตามรู้ ดูที่จิต
ดูความคิด ของจิต เมื่อมันหลง
ดูให้เห็น ความเป็นอยู่ แล้วก็ปลง
จิตมั่นคง เมื่อมีธรรม นั้นนำทาง

…ความเคยชิน ที่สะสม มานมนาน
เพราะว่าผ่าน หลายเรื่องราว ในโลกกว้าง
การจะลด การจะเลิก การจะวาง
จึงต้องสร้าง ความชินใหม่ ไปทดแทน

…นั้นคือการ ละลาย พฤติกรรม
ที่เคยทำ จนเกาะกุม เป็นปึกแผ่น
จึงต้องสร้าง สิ่งใหม่ ไปทดแทน
แม้นจะแสน ยากนัก จักต้องทำ

…ทุกอย่างนั้น มีแนวทาง จะแก้ไข
อยู่ที่ใจ ของเรา จะหนุนค้ำ
ยอมแก้ไข ในสิ่ง ที่เคยทำ
พฤติกรรม เก่าเก่า ยอมละวาง

…ยอมลดละ อัตตา และมานะ
ยอมลดละ ทำใจ ให้เปิดกว้าง
โลกทัศน์ ชีวทัศน์ ต้องจัดวาง
เปลี่ยนทุกอย่าง ที่เคยทำ กรรมไม่ดี

…ไม่มีคำ ว่าสาย หากเริ่มต้น
ความหลุดพ้น มีได้ ในทุกที่
เริ่มจากใจ จากจิต คิดให้ดี
ต้องเริ่มที่ ใจของเรา เท่านั้นเอง…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…

ธรรมะจากใบไม้ที่ร่วงหล่นบนทางเดิน

…ธรรมะจากใบไม้ที่ร่วงหล่นบนทางเดิน…

…ร่วงหล่นบนทางเท้า ทุกค่ำเช้าเฝ้าปัดกวาดรักษาความสะอาด มิให้ขาดในทุกวันใบไม้เจ้าร่วงหล่น ตามกาลกลเป็นเช่นนั้นร่วงหล่นทุกคืนวัน เปลี่ยนแปรผันตามเวลาร่วงหล่นลงสู่พื้น ร่วงลงคืนพสุธาตามกาลและเวลา มีเกิดมามีดับไปใบไม้ให้ร่มเงา เมื่อยามเจ้าเขียวสดใสไม่นานก็จากไป ใบไม้ใหม่มาทดแทนร่วงหล่นลงสู่พืน เจ้ากลับคืนสู่ดินแดนมิเคยจะหวงแหน เจ้าทดแทนคุณแผ่นดินเปื่อยเน่าย่อยสลาย มีความหมายไปทั้งสิ้นพันธุ์ไม้ได้ดูดกิน ตอบแทนดินถิ่นที่มา

อ่านเพิ่มเติม “ธรรมะจากใบไม้ที่ร่วงหล่นบนทางเดิน”

เวลาจะช้าหรือจะเร็ว

…เวลาจะช้าหรือจะเร็วนั้น มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ถ้าเรารู้สึกยินดีกับสิ่งที่กำลังเป็นและเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น เราจะรู้สึกว่าเวลานั้นแสนสั้นเหลือเกินเพราะว่าใจของเรานั้นผูกพันธ์ยึดถืออยู่กับสิ่งนั้น ไม่อยากจะให้มันผ่านพ้นไป ในทางกลับกัน ถ้าในเวลานั้นเรารู้สึกไม่พอใจไม่ยินดีกับสิ่งที่กำลังมีและกำลังเป็น อยากจะให้มันผ่านไปจบสิ้นไปโดยเร็วเราก็จะรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปช้าเหลือเกิน เพราะใจของเราไม่ชอบและปฏิเสธในสิ่งที่กำลังเป็นไป มันจึงรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปช้ามากเวลาในแต่ละช่วงนั้นมันมีระยะที่เท่ากันอยู่เสมอ

…ไม่มีช้าหรือเร็วมันเป็นไปตามปกติวิสัยที่เราสมมุติขึ้นมา แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าช้าหรือเร็วนั้นมันขึ้นอยู่ที่ใจของเรา…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๒ ธันวาคม ๒๕๕๔…

ปรารภธรรมคำกวีหลังเลิกงาน

…ปรารภธรรมคำกวีหลังเลิกงาน…

…ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปมันเป็นเรื่องของบุพกรรมที่ทำมาทั้งที่มาจากโดยตรงและทางอ้อมเพราะเรื่องของกรรมนั้นมันเป็นสิ่งที่ผูกพัน เป็นทายาท เป็นเผ่าพันธุ์จึงส่งผลมาสู่ปัจจุบันอย่างที่เป็นอยู่เมื่อใจยอมรับและรับรู้ ในเรื่องของกรรมและวิบากแห่งกรรม เพียรสร้างกุศลกรรมขึ้นมาใหม่ ใจก็จะมีแต่ความสุข ไม่ทุกข์กับวิบากกรรมทุกสิ่งอย่าง “มันเป็นเช่นนั้นเอง”…

อ่านเพิ่มเติม “ปรารภธรรมคำกวีหลังเลิกงาน”

โลกยังกว้าง ทางยังไกล ให้เรียนรู้

๐ โลกยังกว้าง ทางยังไกล ให้เรียนรู้ ๐

…ออกรอนแรม ท่องไป ในโลกกว้าง
เห็นหลายอย่าง มากมาย ในโลกนี้
ทั้งที่เป็น ความชั่ว และสิ่งดี
ทุกอย่างมี ให้พบเห็น เป็นธรรมดา

…ทุกอย่างล้วน มีคุณ และมีโทษ
มีประโยชน์ ถ้าพินิจ และศึกษา
มองให้เห็น ที่ไป และที่มา
จะรู้ว่า ทุกสิ่งนี้ ล้วนมีคุณ

…อย่ารีบด่วน ตัดสินใจ ปฏิเสธ
ควรหาเหตุ วิเคราะห์ มาเกื้อหนุน
เอาเหตุผล มาพินิจ คิดเป็นทุน
ลองคิดหมุน กลับไป และกลับมา

…รู้ทั้งนอก ทั้งใน กายใจจิต
หมั่นพินิจ วิเคราะห์ และศึกษา
เสริมสร้างภูมิ ต้านทาน ทางปัญญา
ภาวนา เพิ่มสติ ใช้ตริตรอง

…อย่ารีบเชื่อ ทันที ที่ได้เห็น
มันจะเป็น งมงาย ไร้สมอง
ควรฝึกหัด ทบทวน และทดลอง
อย่าไปมอง ด้านเดียว มันไม่ดี

…ปฏิเสธ ทันที เสียโอกาส
อาจจะพลาด โอกาสไป ในทุกที่
เชื่อทันที ก็จะไม่ ส่งผลดี
ควรจะมี การวิเคราะห์ ใช้ปัญญา

…ควรฝึกหัด ตั้งโจทย์ เพื่อฝึกคิด
ควรตั้งจิต เป็นกลาง เมื่อศึกษา
มองหลายด้าน ให้เห็น ด้วยปัญญา
จงมองหา มองให้เห็น ความเป็นจริง

…ในปัญหา ทุกอย่าง มีทางออก
ถ้ารู้นอก รู้ใน และใจนิ่ง
เมื่อจิตว่าง ก็จะเห็น ความเป็นจริง
สรรพสิ่ง ล้วนเป็น เช่นนั้นเอง…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๒ ธันวาคม ๒๕๕๔…

คือความจริง สิ่งที่เห็นและเป็นอย

…คือความจริง สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่…

…สรรพสิ่งเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
คือความจริงสัจจะในวันนี้
และปัญหาหลายหลากที่มากมี
คือสิ่งที่ต้องคิดพิจารณา…

…ทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากต้นเหตุ
ควรสังเกตุวิเคราะห์และศึกษา
ทุกอย่างนั้นมีเหตุให้เกิดมา
จงมองหาให้เห็นความเป็นจริง…

…เมื่อรู้เห็นและเข้าใจในที่เกิด
จิตบรรเจิดย่อมเข้าใจสรรพสิ่ง
เห้นเหตุผลและปัจจัยใช้อ้างอิง
เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดดับธรรมดา…

…มีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับ
เปลี่ยนสลับกันไปตามเนื้อหา
อนิจจังทุกขังอนัตตา
ธรรมดามันเป็นเช่นนั้นเอง…

…เมื่อจิตรู้และเข้าใจในสิ่งนี้
ก็ไม่มีอะไรไปข่มเหง
เกิดละอายในชั่วและกลัวเกรง
จิตก็เก่งมีสติใช้ตริตรอง…

…เมื่อมองโลกมองธรรมนำมาคิด
ชำระจิตชำระใจไม่เศร้าหมอง
ดำเนินจิตก้าวไปในครรลอง
และเฝ้ามองกายจิตคิดถึงธรรม…

…มีสติระลึกรู้อยู่ทั่วพร้อม
จิตก็น้อมพาใจไม่ใฝ่ต่ำ
จิตก็เดินไปในโลกและในธรรม
เพราะน้อมนำธรรมะมานำทาง..

…เดินตามธรรมนำทางสว่างจิต
นำชีวิตก้าวไปใจสว่าง
รู้จักลดรู้จักละรู้จักวาง
ไม่หลงทางเพราะมีธรรมนั้นนำไป…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณธไร้นาม-วจีพเนจร…
…๒ ธันวาคม ๒๕๕๔…

เดินทางร้อยลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม

…เดินทางร้อยลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม…

…จากประสพการณ์ที่ผ่านมาทั้งในทางโลกและทางธรรม ช่วงหนึ่งของชีวิตแห่งการเดินทางได้ประสพพบเห็นอะไรมามากมาย เก็บบันทึกไว้ในความทรงจำ น้อมนำมาพิจารณามองหาที่มาและที่ไปของมัน ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุและมีปัจจัยเป็นตัวประกอบ ค้นหาให้เห็นซึ่งที่มา ว่าเป็นมาอย่างไร ก่อนที่เราจะได้รู้และได้เห็นมันดำเนินไปเช่นไรและจะจบลงที่จุดไหน

อ่านเพิ่มเติม “เดินทางร้อยลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม”