…กวีธรรม-คำครู…

…กวีธรรม-คำครู…

…ตัวกู-ของกู…

๐ ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา

๐ เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันคึกว่า “กู-ของ-กู” อยู่ร่ำไป

๐ จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ผูกยึดไว้ ว่า “ตัวกู” หรือ “ของกู”ฯ

…ท่านพระอาจารย์พุทธทาส ภิกขุ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔…

ระลึกถึงพุทธสุภาษิตธรรมย้ำเตือนตน

…ระลึกถึงพุทธสุภาษิตธรรมย้ำเตือนตน…

…ภิกษุทั้งหลาย! เราประพฤติพรหมจรรย์นี้มิใช่เพื่อหลอกลวงคน เพื่อให้คนบ่นถึงเพื่อผลคือลาภสักการะและชื่อเสียงเพื่อเป็นเจ้าลัทธิ เพื่อให้คนทั้งหลายรู้จักเราก็หามิได้ แต่ที่แท้จริงแล้วเราประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อความสังวรระวัง เพื่อละกิเลส เพื่อคลายกิเลสและเพื่อดับกิเลสเท่านั้น …

…นยิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ
ชนกุหนตฺถํ น ชนลปนตฺถํ
น ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถํ
น อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสตฺถํ
น อิติ มํ ชโน ชานาตูติ
อถโข อิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ
สํวรตฺถํ ปหานตฺถํ วิราคตฺถํ นิโรธตฺถนฺติ …
…พุทธสุภาษิต พรหมจริยสูตร ๒๑/๒๙…

…รำพึงธรรมและคำกวีในยามว่าง…

๐ มองต้นไม้ เรียงราย ตามชายเขา
ให้ร่มเงา ชีวิต ได้อาศัย
คือความงาม ธรรมชาติ แห่งพฤกษ์ไพร
มีดอกใบ สวยงาม ตามเวลา

๐ ธรรมชาติ คือเพื่อน ช่วยเตือนจิต
ให้ขบคิด เข้าใจ ในปัญหา
บริสุทธิ์ ไร้เล่ห์ และมายา
มีคุณค่า ต่อมนุษย์ สุดบรรยาย

อ่านเพิ่มเติม “ระลึกถึงพุทธสุภาษิตธรรมย้ำเตือนตน”

ลำนำกวีธรรมยามค่ำคืน

…ลำนำกวีธรรมยามค่ำคืน…

…ทุกคนต่างก็รู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด แต่เรายังคิดและยังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์แห่งคุณธรรมของเรายังไม่เพียงพอ เราได้แต่รู้เราได้แต่คิด แต่ไม่ได้พิจารณาถึงคุณ ถึงโทษถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสิ่งนั้นและเรายังไม่ได้ลงมือทำในการฝึกจิต จึงเป็นได้เพียงความคิดและความฝันซึ่งเป็นเพียง “นามธรรม” อันจับต้องไม่ได้…

….เมื่อสายลมร้อนพัดผ่านกาลเวลา….

๐ สายลม พัดโชย แผ่วเบา
จากเช้า ผ่านสาย บ่ายคล้อย
หมู่เมฆ บนฟ้า ล่องลอย
เรียงร้อย เป็นทิว แถวยาว

๐ นั่งมอง หมู่เมฆ บนฟ้า
นกกา โผบิน เหินหาว
ระลึก ตรึกตรอง เรื่องราว
เมฆขาว เจ้าอยู่ หนใด

๐ ลมพัด ผ่านใบ ไทรอ่อน
มองย้อน ทบทวน ดูใหม่
ต่างคน ต่างจิต ต่างใจ
จึงไป กันคน ละทาง

๐ พิราบ สีขาว บินหาย
เหยี่ยวร้าย แผ่ปีก ออกกว้าง
ความหวัง ตั้งไว้ เลือนราง
ทุกอย่าง นั้นเปลี่ยน แปลงไป

๐ สู่ยุค ของทุน นิยม
สังคม ต้องการ สิ่งใหม่
วัตถุ มีค่า กว่าใจ
โลกไร้ ไม่มี คุณธรรม

๐ กอบโกย แก่งแย่ง แข่งขัน
พวกมัน พวกกู น่าขำ
จิตใจ มีแต่ มืดดำ
ตกต่ำ ไร้ความ ละอาย

๐ ยึดถือ แต่ผล ประโยชน์
ลืมโทษ ทุกข์ภัย ลืมหาย
เพียงเพื่อ พวกกู สบาย
ใครตาย ใครเป็น ช่างมัน

๐ ศีลธรรม เสื่อมจาก ใจคน
เหตุผล จึงเป็น เช่นนั้น
โลกนี้ เสื่อมทราม ทุกวัน
คนนั้น ไม่มี ศีลธรรม

๐ ลมร้อน พัดผ่าน ชายเขา
พัดเอา ซึ่งความ เจ็บช้ำ
สายลม พัดพา เคราะห์กรรม
จดจำ ซึ่งความ เปลี่ยนแปลง

๐ สายลม นั้นอาจ เปลี่ยนทิศ
เหมือนจิต ใจคน ทุกแห่ง
นำไป สู่ความ รุนแรง
แก่งแย่ง เพื่อประ –โยชน์ตน

๐พิราบ กลายเป็น อินทรีย์
เรื่องนี้ เกิดขึ้น หลายหน
อำนาจ เปลี่ยนแปลง ใจคน
วังวน แห่งโลก มายา …

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ -สมณะไร้นาม…
…๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔…

บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ

…บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ…

๐ เมื่อแสงเงิน แสงทอง ส่องขอบฟ้า
สกุณา ขับขาน ประสานเสียง
จึงลิขิต คำถ้อย มาร้อยเรียง
ด้วยหวังเพียง บันทึกธรรม ตามเวลา

๐ บรรยายธรรม นำเสนอ ในยามเช้า
เพื่อปลุกเร้า เตือนใจ ผู้ใฝ่หา
บรรยายธรรม ตามธรรม ที่ทำมา
ปรารถนา ความเจริญ ซึ่งทางธรรม

๐ ชี้ให้เห็น ทุกข์ภัย ในอกุศล
เพื่อผู้คน จะได้ ไม่ตกต่ำ
ให้ละอาย และกลัว ในบาปกรรม
ช่วยชี้นำ ตามหน้าที่ ที่มีมา

อ่านเพิ่มเติม “บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ”

กล่าวธรรมคำกวี “บนสายธารแห่งกาลเวลา”

…กล่าวธรรมคำกวี “บนสายธารแห่งกาลเวลา”…
…ดอกบัวบาน งามเด่น เป็นสง่า
เสียงนกกา ขับขาน กังวานใส
วันเวลา แห่งชีวิต ล่วงเลยไป
เช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมา รับอรุณ

…อรุณรุ่ง เรืองรอง แสงทองส่อง
นั่งเหม่อมอง พาใจ ให้อบอุ่น
ธรรมชาติ สรรค์สร้าง อย่างสมดุล
ธรรมชาติ มีคุณ เกินบรรยาย

…สายลมพัด โชยมา จากชายเขา
ลมแผ่วเบา พัดมา เมื่อยามสาย
สายลมเย็น พัดผ่าน ให้สบาย
ลมต้องกาย สบายใจ ไร้กังวล

อ่านเพิ่มเติม “กล่าวธรรมคำกวี “บนสายธารแห่งกาลเวลา””

กวีธรรมในยามเย็น

…กวีธรรมในยามเย็น…

๐ คือสายธาร ศรัทธา ปสาทะ
เพื่อลดละ กิเลส ตัวตัณหา
จึงรอนแรม เร่ร่อน สัญจรมา
มุ่งสู่ป่า ทิ้งเมือง เรื่องวุ่นวาย

๐ ร้อยสายน้ำ ร้อยดอย และร้อยป่า
ภาวนา ปฏิบัติ คือจุดหมาย
เพื่อชำระ กิเลส ให้จางคลาย
ลำบากกาย อย่างไร ไม่นำพา

อ่านเพิ่มเติม “กวีธรรมในยามเย็น”

บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ

…บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ…

๐ เมื่อแสงเงิน แสงทอง ส่องขอบฟ้า
สกุณา ขับขาน ประสานเสียง
จึงลิขิต คำถ้อย มาร้อยเรียง
ด้วยหวังเพียง บันทึกธรรม ตามเวลา

๐ บรรยายธรรม นำเสนอ ในยามเช้า
เพื่อปลุกเร้า เตือนใจ ผู้ใฝ่หา
บรรยายธรรม ตามธรรม ที่ทำมา
ปรารถนา ความเจริญ ซึ่งทางธรรม

อ่านเพิ่มเติม “บทเพลงธรรมแห่งรุ่งอรุณ”

รำพึงธรรมยามใกล้รุ่งอรุณ

…รำพึงธรรมยามใกล้รุ่งอรุณ…

….ในการปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวเตือนเสมอว่า “จงอย่าได้เอาตัวเรานั้นไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น” ซึ่งถ้าเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ด้อยกว่า เราอาจจะหลงลำพองใจว่าเรานั้นดีกว่าเขาเก่งกว่าเขา ฉลาดกว่าเขา

…ถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่าสูงกว่า มันอาจจะเกิดความน้อยใจ อิจฉาในวาสนาและบารมีเกิดความไม่พอดีขึ้นในจิตและถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนที่เสมอกันก็อาจจะเกิดการแข่งขัน อยากจะดีกว่าเขา อยากจะเก่งกว่าเขา

อ่านเพิ่มเติม “รำพึงธรรมยามใกล้รุ่งอรุณ”

ใคร่ครวญทบทวนเพื่อกำหนดทิศทาง

…ใคร่ครวญทบทวนเพื่อกำหนดทิศทาง…

…ใคร่ครวญทบทวนสรุปเรื่องราวที่ผ่านมา มีหลากหลายบทบาทและลีลาที่ได้ดำเนินไปในทุกศาสตร์ทุกศิลป์ที่ได้ร่ำเรียนฝึกฝนมาจนเกิดความกระจ่างแก่ใจ สิ้นความสงสัยในเรื่องพลังจิตที่ทำให้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์คงจะถึงกาลที่จะต้องละวางจากพิธีกรรมเข้าสู่การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อย่างจริงจังเพราะวันเวลาของชีวิตนั้นยังอีกไม่ยาวไกลจึงต้องตั้งใจเร่งความเพียรให้มากขึ้น

…เคยมีผู้ปรารถนาดีที่อยากจะให้เรามีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป มาติดต่อให้ไปออกในสื่อต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ธรรมะ ทั้งงานเขียนและการบรรยายธรรม แต่ก็ได้ปฏิเสธเขาไป เพราะว่าเราพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่

…งานเขียนทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากสภาวจิต จากความคิดในขณะนั้น เพียงเพื่อต้องการจะบันทึกไว้เพื่อเตือนใจตนและแบ่งปันแก่ผู้คนที่สนใจในธรรมทั้งหลาย ยังอยากจะอยู่อย่างเรียบง่าย เป็นสมณะไร้นามตามปกติที่เป็น

…เพราะการเปิดตัวต่อสาธารณะชนนั้น มันมีทั้งผลดีและผลเสีย ย่อมมีทั้งคนชอบและคนชัง กลายเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องพร้อมจะรับฟังคำติชมทั้งหลาย ชีวิตส่วนตัวนั้นก็จะหายไป เพราะสังคมจะเข้ามาบังคับให้วิถีชีวิตนั้นเปลี่ยนไปตามกระแสความต้องการของสังคม

…ความเป็นตัวตนที่แท้จริงจะหายไปเพราะกระแสสังคมแห่งโลกธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการกำหนดชีวิตเรา จึงยินดีและพอใจที่จะเป็นอยู่อย่างนี้อย่างที่เคยเป็นมา อยู่กับสภาวะแห่งความเป็นจริงในสิ่งที่เราเป็นอยู่คืออยู่กับปัจจุบันธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔…

ปรารภธรรมก่อนทำวัตรเช้า

…ปรารภธรรมก่อนทำวัตรเช้า…

…“ทำงานทุกชนิดให้จิตนั้นอยู่กับธรรม” คือพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหลักธรรม มีสติระลึกรู้และความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา รู้จักแยกแยะ ถูกผิด ชั่วดี รู้จักข่มจิตข่มใจไม่คล้อยตามกิเลส ความอยากทั้งหลายที่เป็นอกุศล มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป คุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะ ทำหน้าที่ของตนไปตามบทบาทและหน้าที่ให้เต็มกำลังความรู้ความสามารถของตนเอง ทำอยู่อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าท่านนั้นกำลังปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำหน้าที่อย่างมีสติและสัมปชัญญะ ระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา มีเจตนาคือกุศลจิตในขณะกระทำ ไม่ก้าวล่วงศีลธรรมและประเพณีที่ดีงาม ทำตามหน้าที่และความรับผิดชอบของตน รู้จักเหตุและผลในการกระทำนั้น ๆ ก็ได้ชื่อว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้มีธรรมและอยู่กับธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔…