รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๒๐

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๒๐…

…สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวศักยะในแคว้นสักกะครั้งนั้นท่านพระอานนท์ ได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า..

“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้นนับว่าเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ทีเดียวนะ พระเจ้าข้า ”

…พระพุทธองค์ ได้ตรัสค้านขึ้นว่า…
“ อานนท์ ! เธออย่าพูดอย่างนั้นเธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น นับว่าเป็นพรหมจรรย์หมดทั้งสิ้นทีเดียว

อานนท์ ! อันพระภิกษุผู้มีมิตรดีมีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีก็เป็นอันหวังได้แน่นอนว่า จะได้เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘จะกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ …”
…อุปัฑฒสูตร ๑๙/๒…

…ในอ้อมกอดของขุนเขา
ใต้ร่มเงาของมวลพฤกษา
บนจุดหนึ่งของกาลเวลา
จงมีสติเตือนตนเสมอว่า
มีความปรารถนาซึ่งสิ่งใด
ทบทวนสิ่งที่ได้ผ่านมาใหม่
ว่าสิ่งที่ตั้งความหวังไว้ในใจ
สิ่งนั้นก้าวไกลถึงไหนแล้ว…

…มีผู้ปรารถนาดีหวังดีมาถามอยู่เสมอว่าทำไม่ไม่อยู่อย่างผู้อื่นเขาไม่เอาอย่างเขา ก็ได้ตอบเขาไปว่าเราอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของเราไม่เคยคิดที่จะสร้างภาพมายาให้คนมากราบไหว้ศรัทธาชื่นชมกล่าวยกย่องสรรเสริญ อยู่กับความเป็นจริง ทำในสิ่งที่ควรทำ ตามความเหมาะสมในขณะนั้น เพราะกระบวนการแห่งการลดละกิเลสตัณหานั้นมันเป็นเรื่องของจิตและคุณธรรมภายในไม่ใช่การแสดงออกทางกาย ขอเพียงเรามีสติและสัมปชัญญะที่เป็นกุศลจิตคุ้มครองอยู่ ระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อมในสิ่งที่กำลังคิดและในกิจที่กำลังทำ มีองค์แห่งคุณธรรมนั้นควบคุมกายจิตอยู่มีความอดกลั้น อดทนต่อสิ่งยั่วยุทั้งหลายที่เป็นอกุศล ไม่เผลอใจคล้อยตามกิเลสฝ่ายต่ำ พยายามแก้ไขปรับปรุงตนเองอยู่เสมอก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ เก็บทุกรายละเอียดระหว่างรายทาง คือการก้าวย่างที่มั่นคงและจะไม่หลงทางไม่ใช่การขันแข่ง ไม่ใช่การแสดงไม่ใช่การโอ้อวด แต่มันคือความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหมั่นเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อพัฒนาให้จิตนั้นก้าวหน้า มีความเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป นั้นคือสิ่งที่คิดและกิจที่ทำ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *