…พิจารณาธรรมเป็นคำกวีว่าด้วยเรื่อง “สังคหวัตถุ ๔”…
๐ พระพิรุณ พรั่งพรู ลงสู่พื้น…
ในค่ำคืน เดือนแรม ไม่แจ่มใส
เดือนและดาว บนฟ้า มาลาไป
ท้องฟ้าไร้ ซึ่งแสง แห่งดวงดาว
๐ เสียงสายฝน หล่นประสาน เป็นงานศิลป์
กลิ่นไอดิน ฟุ้งกระจาย ให้คลายหนาว
มีสายลม พัดผ่าน เป็นครั้งคราว
คือเรื่องราว ฝนพรำ ยามค่ำคืน
๐ ฟ้าหลังฝน สดใส ให้กระจ่าง
ฟ้าสว่าง พาใจ ให้สดชื่น
ช่วยปลุกใจ มิให้หลับ กลับมาตื่น
และพลิกฟื้น หัวใจ ให้ใฝ่ธรรม
๐ กายวิเวก จิตวิเวก ปัจเจกจิต
ใคร่ครวญคิด มิให้ ใจตกต่ำ
ละอัตตา ตัณหา ที่ครอบงำ
ยกข้อธรรม มาพินิจ คิดใคร่ครวญ
๐ “สังคห-วัตถุ๔” มีเนื้อหา
จะนำพา สังคม ให้สมส่วน
ให้สังคม มีความรัก และชักชวน
สู่กระบวน พัฒนา มารวมกัน
๐ หนึ่งคือทาน การให้ ใจเอื้อเฟื้อ
และช่วยเหลือ เผื่อแผ่ ความสุขสรรค์
เสียสละ ส่วนตน ไปแบ่งปัน
ช่วยเหลือกัน ตามกำลัง ในครั้งคราว
๐ สองนั้นหรือ คือวาจา ที่อ่อนหวาน
คำกล่าวขาน สุภาพ ไม่สามหาว
เอา “ปิย-วาจา” มาเป็นกาว
เชื่อมรอยร้าว ในมิตร ให้ชิดกัน
๐ สามขวนขวาย ในงาน การกุศล
บำเพ็ญตน ด้วยจิต คิดสร้างสรรค์
คือ “อัตถ-จริยา” สายสัมพันธ์
ร่วมใจกัน ทำประโยชน์ เพื่อแผ่นดิน
๐ ต้องวางตัว ให้เหมาะสม กับโอกาส
อย่าพลั้งพลาด ให้คน เขาติฉิน
เสมอต้น เสมอปลาย ไร้มลทิน
เป็นอาจินต์ เรียกว่า “สมานัตตา”
๐ ธรรมเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยว เกี่ยวใจไว้
ให้เกิดความ รักใคร่ และห่วงหา
ประสานชน ประสานใจ ให้ศรัทธา
สร้างคุณค่า ของตน ด้วยผลงาน
๐ อุทานธรรม หลังฝนพรำ ในยามเที่ยง
ผสมเสียง สายฝน ใกล้พ้นผ่าน
ได้เวลา ที่ชอบ ประกอบการ
สร้างผลงาน บทกวี ที่มีมา…
…แด่ฟ้าหลังฝน แด่คนผู้ใฝ่ธรรม…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๗ เมษายน ๒๕๖๔…