บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๙๒

…บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๙๒…

…กระแสธรรมที่พัดผ่านกาลเวลา…

…พบปะสนทนากับผู้คนมากมายทั้งในเรื่องทางโลกและทางธรรมตามกรรมตามวาระ อาศัยหลักธรรมเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย ปรับใช้กับชีวิตในแต่ละวันเวลา แต่ละสถานที่และตัวบุคคล เพราะทุกคนที่เราพบปะนั้น มีเหตุผลของแต่ละคนที่แตกต่างกัน จึงต้องคัดสรรค์ธรรมให้เหมาะสมให้สอดคล้องกับจังหวะเวลา โอกาส สถานที่และตัวบุคคลสิ่งที่ต้องขบคิดและพิจารณาก็คือการใช้ภาษาในการสนทนาธรรมว่าจะทำอย่างไรในการถ่ายทอดที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ใช้ภาษาอย่างไรที่จะให้เขาเข้าใจได้ง่ายซึ่งบางครั้งการที่เราใช้ภาษาในเชิงวิชาการมากไปนั้น บางครั้งก็เพิ่มความไม่เข้าใจให้แก่ผู้ฟังเพราะเป็นภาษาที่เข้าใจได้ยากเช่นคำศัพท์ภาษาบาลี หรือคำศัพท์ภาษาธรรม เพราะว่าฟังแล้วต้องหาคำแปล คำอธิบายคำศัพท์อีกรอบหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก สับสนทั้งผู้พูดและผู้ฟัง เพราะไปติดยึดในการสร้างวาทะกรรมให้สวยหรูดูดี

…ซึ่งบางครั้งเราต้องละทิ้งรูปแบบในพยัญชนะ มาเน้นในเรื่องความหมายความเข้าใจให้มากที่สุด เพื่อความรู้ความเข้าใจในธรรมะทั้งหลาย เพื่อให้ฟังแบบสบายๆ ไม่เกร็งไม่เคร่งและไม่เครียดในการสนทนาธรรม จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไร้รูปแบบ แต่ไม่ไร้สาระ” คือการถ่ายทอดธรรมะเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจโดยไม่ยึดติดในรูปแบบซึ่งทุกอย่างนั้น ต้องใช้การคิดและการพิจารณา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ทบทวนอยู่ตลอดเวลา ปรับเข้าหาหลักธรรมเพื่อความเหมาะสม มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายให้เป็นธรรม ใช้หลักแห่งความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ โดยการลดละซึ่งอัตตาและคติ ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาใช้ในการคิดและวิเคราะห์แล้วเราจะเข้าถึงสภาวะแห่งธรรมะที่แท้จริง…

…ขอฝากไว้เป็นข้อคิดในการศึกษาและพิจารณาวิเคราะห์หลักธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *