…จากการเดินทางบนสายธรรม บทที่ ๑๕…
…การศึกษาธรรมะและประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องมีวิจารณญาณอย่าเชื่อทันทีที่ได้ยิน ได้ฟังมาอย่าได้ศรัทธาเพราะยึดติดในตัวบุคคล จงเอาเหตุและผลมาเป็นที่ตั้ง แห่งการคิดและพิจารณาธรรม ว่าควรจะเชื่อหรือจะปฏิเสธ ในสิ่งที่ได้อ่านได้ยินหรือได้ฟังมา
…ดั่งที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเชื่อในทันที เรียกว่างมงาย ถ้าปฏิเสธทันที เรียกว่าเสียโอกาสขาดประโยชน์” ควรพิจารณาไตร่ตรองให้รอบครอบและทดลองปฏิบัติพิสูจน์ ฝึกฝนที่ใจตน ให้เกิดความกระจ่างชัดขึ้นด้วยใจตน ตามเหตุและผลแล้ว จึงควรเชื่อหรือปฏิเสธในสิ่งที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมา
…ศรัทธาที่มาจากอิทธิปาฏิหาริย์มักจะนำไปสู่ความงมงาย เพราะจะทำให้ขาดการพิจารณาในเหตุและผล อย่าให้ความศรัทธาในตัวบุคคล มาบดบังเหตุและผลสภาวธรรมที่แท้จริง ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญามีดวงตาเห็นธรรมเข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงนั้นได้…
…การทำงานไม่คั่งค้างเป็นมงคลของชีวิต…
๐ ยกธรรม มานำอ้าง
เป็นแบบอย่าง ในการงาน
ยกธรรม นำประสาน
ให้เกิดการ พัฒนา
๐ ทำงาน ไม่คั่งค้าง
ไม่ทิ้งวาง เพราะระอา
ความเหนื่อย ความเมื่อยล้า
ธรรมดา ของการงาน
๐ อุปสรรค และปัญหา
ย่อมมีมา ทุกสถาน
แก้ไข ให้ทันการ
ไม่ทิ้งงาน เพราะท้อใจ
๐ ใช้ธรรม เป็นแนวทาง
มองทุกอย่าง แล้วแก้ไข
ให้งาน ลุล่วงไป
อย่าทิ้งไว้ ให้ค้างคา
๐ งานเสร็จ สำเร็จผล
เป็นมงคล แก่กายา
ปีติ จะมีมา
ในอุรา จะชื่นบาน
๐ เบิกบาน ด้วยปีติ
เพราะได้ตริ ตรึกตรองการ
ลุล่วง ในผลงาน
เกิดจากการ พยายาม
๐ ขันติ วิริยะ
คือธรรมะ อย่ามองข้าม
ตรวจสอบ และติดตาม
อย่าผลีผลาม เลิกกลางคัน
๐ ทิ้งงาน ใช่การแก้
มันจะแย่ ไม่สร้างสรรค์
ทิ้งงาน ลงกลางคัน
ให้งานนั้น มันค้างคา
๐ จะติด เป็นนิสัย
ครั้งต่อไป มีปัญหา
จะสิ้น ซึ่งศรัทธา
คนตราหน้า ว่าไม่จริง
๐ ไม่เคย จะสำเร็จ
ไม่เคยเสร็จ ในทุกสิ่ง
เป็นคน ที่ไม่จริง
ทำทุกสิ่ง ไว้ค้างคา
๐ ชีวิต ที่มีนั้น
เมื่อนับวัน จะไร้ค่า
สูญสิ้น ซึ่งศรัทธา
ก็เพราะว่า ทำไม่จริง…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๓ ธันวาคม ๒๕๖๔…