ระลึกถึงธรรมตามกาลเวลา

…ระลึกถึงธรรมตามกาลเวลา…

…อดีตคือความทรงจำที่ผ่านมาปัจจุบันคือความเป็นจริง สิ่งที่กำลังตั้งอยู่ อนาคตคือความฝันและจินตนาการเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น…

…คือคำพูดและโวหารในเชิงกวีที่ได้กล่าวกันมาแต่ยาวนานแต่ในความเป็นจริงในชีวิตจงทำจิตให้หยุดคิดสงบนิ่งแล้วขจัดความคิดอกุศลสิ่งที่เป็นขยะของอารมณ์ออกไปคงเหลือไว้แต่สิ่งที่เป็นกุศลสิ่งที่ดีมีสาระและมีประโยชน์สิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ เป็นภัยและเป็นโทษต่อกุศลทั้งหลายเพื่อให้มีความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายนั้นเพิ่มพูนก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป…

…แด่เช้าวันใหม่ที่ลมหายใจยังมีอยู่…

…เช้าตื่นขึ้นมา ลืมตาดูโลก
ลืมเรื่องทุกข์โศก โรคร้ายโรคา

๐ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วหันหน้ามา
กราบพระบูชา ภาวนาสวดมนต์

๐ เสร็จกิจของสงฆ์ ก้าวลงถนน
ไปโปรดผู้คน ที่ตั้งตารอ

๐ เรื่อยเรื่อยรายทาง ก้าวย่างเดินต่อ
หนุ่มสาวเฝ้ารอ ใส่บาตรร่วมกัน

๐ เช้าเป็นนักบิณฑ์ หากินขบฉันท์
ญาติโยมช่วยกัน แบ่งปันทำบุญ

๐ เป็นสมณะ บวชพระแทนคุณ
ผู้ที่เกื้อหนุน การุณย์เรามา

๐ ทำกิจของสงฆ์ ดำรงศรัทธา
สืบเจตนา ครูบาอาจารย์

๐ เรียงร้อยพระธรรม นำมากล่าวขาน
เป็นวิทยาทาน คืองานที่ทำ

…ว่างงานเสร็จกิจ ลิขิตบทธรรม
เอามาชี้นำ กระทำเรื่อยมา

๐ ปลุกจิตปลุกใจ แด่ผู้ใฝ่หา
แสงธรรมนำพา ชีวารื่นรม

๐ ไม่ปล่อยสมอง ให้ล่องลอยลม
นั่งคิดคำคม อบรมปัญญา

๐ ทบทวนความรู้ หมั่นดูศึกษา
จิตใจกายา ค้นคว้าหาตน

๐ มองหากิเลส เป็นเหตุเป็นผล
กล่าวเตือนผู้คน ให้พ้นอบาย

๐ เห็นทุกข์เห็นโทษ ความโกรธมุ่งร้าย
ที่มันทำลาย ให้หายหมดไป

๐ สวัสดีชาวโลก มีโชคมีชัย
ยิ้มรับวันใหม่ สุขใจจริง…จริง…

…แด่ความโชคดีที่ได้มีโอกาสลืมตามาดูโลกอีกวันหนึ่ง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *