สดับธรรมตามกาลเวลา

…สดับธรรมตามกาลเวลา…

…การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิตนั้น เรียกว่ากำลังทำความเพียร กำลังปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นว่าจะต้องนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม จึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมทำความเพียรถ้าไม่มีสติระลึกรู้ จิตฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย ก็ไม่เรียกว่าทำความเพียร แม้จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่ก็ตามเมื่อไหร่ที่จิตนั้นมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ ไม่ว่าจะยืน จะเดินจะนั่งจะนอน ก็ได้ชื่อว่ากำลังปฏิบัติธรรมทำความเพียรอยู่…

…การไร้รูปแบบก็คือการมีรูปแบบเฉพาะตัวนั้นเอง โดยการไม่เข้าไปยึดติดในรูปแบบที่เป็นกระแสนิยมของสังคม เป็นไปเพื่อความเหมาะสมกับจริตและวิถีชีวิตของผู้ปฏิบัตินั้นเองเป็นการกระทำที่รู้ได้เฉพาะตนมีเหตุและผลในการกระทำทั้งหลายมีสติและสัมปชัญญะที่เป็นกุศลควบคุมกายจิตอยู่ทุกขณะ เป็นสภาวะของปรมัตถธรรม จิตเข้าสู่ความเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนในสิ่งที่คิดและกิจที่ทำ ดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย ไม่เป็นภัยต่อชีวิตไม่เป็นพิษต่อผู้อื่น ไม่ฝ่าฝืนธรรมวินัยเป็นไปโดยชอบอันประกอบด้วยกุศลเป็นมงคลต่อชีวิต นั้นสิ่งที่ควรคิดและกิจที่ควรทำ…

…ปรับกาย ปรับจิต ปรับความคิด สู่การกระทำ…

๐ มองโลก และมองธรรม
แล้วน้อมนำ มาปรับใช้
กับสิ่ง ที่เป็นไป
เพื่อจะให้ เหมาะกับกาล

๐ สติ ระลึกรู้
การตามดู จิตเป็นงาน
รู้ตน รู้ประมาณ
นั้นคือการ ประพฤติธรรม

๐ รู้กาย และรู้จิต
รู้ที่คิด รู้ที่ทำ
รู้ชอบ ประกอบกรรม
ประพฤติธรรม คือความดี

๐ ความดี เริ่มที่จิต
เริ่มจากคิด ไม่ผิดที่
คิดดี และพูดดี
เป็นตัวชี้ การกระทำ

๐ รู้ธรรม และเห็นธรรม
ถ้าไม่ทำ ก็ก่อกรรม
รู้แล้ว ไม่น้อมนำ
มากระทำ ก็เสียงาน

๐ รอยทางและรอยธรรม
ได้น้อมนำ ธรรมกล่าวขาน
บอกเล่า ประสพการ
ที่ได้ผ่าน มาชี้แจง

๐ มากมาย หลายมุมมอง
ที่ทดลอง มาแถลง
บอกเล่า ความเปลี่ยนแปลง
ทุกหนแห่ง ที่พบมา

๐ ให้รู้ และให้คิด
ให้พินิจ ให้ศึกษา
เสริมสร้าง ทางปัญญา
เพิ่มคุณค่า ให้แก่ตน

๐ เป็นคน ควรจะคิด
ให้ชีวิต มีเหตุผล
คุ้มค่า คำว่าคน
ควรสร้างผล ในทางดี….

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕…