ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๑๐

…ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๑๐…

…หลวงพ่อพุทธทาสท่านสอนไว้ว่า ชีวิตคือการทำงาน การทำงานอย่างมีสตินั้นคือการปฏิบัติธรรมดำเนินชีวิตด้วยการทำงานทั้งทางภายนอกและภายใน ควบคุมกายใจด้วยสติและสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายทำใจให้ยอมรับกับสภาพแห่งความเป็นจริงในสิ่งเหล่านั้น เมื่อใจรับได้เพราะรู้และเข้าใจในความเป็นไปของสิ่งเหล่านั้น เห็นที่มาที่ไปเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อละวางมันได้ความทุกข์เพราะความกังวลทั้งหลายก็หายไปสิ้นไป จิตเข้าสู่ความโปร่ง โล่ง เบา

…อดีตคือความทรงจำที่ผ่านมาปัจจุบันคือความเป็นจริงสิ่งที่กำลังตั้งอยู่ อนาคตคือความฝันและจินตนาการ เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น…

…คือคำพูดและโวหารในเชิงกวีที่ได้กล่าวกันมาแต่ยาวนานแต่ในความเป็นจริงในชีวิตจงทำจิตให้หยุดคิดสงบนิ่งแล้วขจัดความคิดอกุศลสิ่งที่เป็นขยะของอารมณ์ออกไปคงเหลือไว้แต่สิ่งที่เป็นกุศลสิ่งที่ดีมีสาระและมีประโยชน์สิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ เป็นภัยและเป็นโทษต่อกุศลทั้งหลาย เพื่อให้มีความเจริญในกุศลธรรมเพิ่มพูนก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

…มองดูโลกที่สับสนวุ่นวายให้คล้ายดูหนังดูละคร ทุกบท ทุกตอนล้วนแล้วแต่มายา ที่ถูกกำหนดมาด้วยกฎแห่งกรรม พยายามทำจิตใจให้อยู่เหนือโลกธรรม ๘ ทวนกระแสแห่งโลกมายาแล้วเราจะพ้นจากความทุกข์ความเศร้าโศกจากโลกมายานี้ได้ เพิ่มกำลังทั้ง ๕ ประการคือศรัทธา สติ วิริยะสมาธิ ปัญญา ให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดผลงานให้เป็นรูปธรรมพร้อมที่จะนำไปถ่ายทอดเผยแผ่แก่ผู้ที่สนใจพยายามทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆขึ้นในจิตเพื่อพัฒนาความคิดให้เจริญก้าวหน้า เพื่อจะได้นำไปสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นให้เห็นหนทางเห็นแสงสว่างเส้นทางของชีวิต ชี้นำให้ไปขบคิดพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญาและออกจากกองทุกข์พบสุขที่แท้จริง…

…ปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕…