ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๑๐

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๑๐…

… จงเป็นไปเพื่อความเป็นผู้ที่เลี้ยงง่ายไม่สร้างความลำบากใจ ความอึดอัดและความกดดันให้แก่บุคคลรอบข้างให้ทุกอย่างเป็นไปตามสามัญลักษณะของธรรมชาติที่มันควรจะเป็น โดยมีธรรมวินัยเป็นกฎกติกาของชีวิตและเป็นกิจที่ต้องกระทำ อย่าได้ไปตั้งกฎกติกาใหม่ขึ้นมาเพื่อสนองตอบตัณหาของตนเอง ไม่ควรตัด ไม่ควรเติมเพิ่มในสิ่งที่พระพุทธองค์นั้นทรงตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะสิ่งที่ไปตัดออกหรือเพิ่มเข้ามาใหม่นั้นมันมาจากตัณหา ความอยากความต้องการของเราเองทั้งนั้น ที่อยากจะให้มันเป็นไปตามที่ใจของเรานั้นปรารถนาและต้องการ มันเป็นการทำเพื่อสนองตอบ ตัณหาของตัวเราเอง…

๐ ไม่มีคำ อวยพร ที่อ่อนหวาน
เนื่องในกาล เวลา ที่มาถึง
มีแต่เพียง ข้อคิด ให้คำนึง
สิ่งที่พึง ครวญคิด พิจารณา

๐ เคยทบทวน นึกคิด กันบ้างไหม
มีอะไร เป็นแก่นแท้ และเนื้อหา
จากอดีต ของกาล ที่ผ่านมา
สร้างคุณค่า ให้ชีวิต แล้วหรือยัง

๐ วันเวลา ผ่านไป คือสมมุติ
ที่ไม่หยุด อย่าได้ ไปมุ่งหวัง
กำหนดนับ บอกยาม ตามกำลัง
ไม่ให้พลั้ง ให้พลาด คาดคะเน

๐ทุกขณะ ของจิต ที่ตื่นอยู่
ระลึกรู้ กายใจ ไม่หันเห
สติมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่ซวนเซ
ไม่โลเล ตั้งใจ ทำให้จริง

๐ ทำในสิง ที่ชอบ ประกอบกิจ
ไม่เป็นพิษ เป็นภัย ในทุกสิ่ง
เอาหลักธรรม นำทาง ใช้อ้างอิง
ให้จิตนิ่ง ระลึกรู้ อยู่ทั่วกาย

๐ มีสติ มีธรรม นำชีวิต
รู้ถูกผิด รู้เห็น ในความหมาย
เพราะหนทาง แห่งความดี มีมากมาย
จงขวนขวาย ประกอบกรรม ทำความดี

๐ ให้ชีวิต ของเรานี้ นั้นมีค่า
คุ้มราคา ที่ได้เกิด บนโลกนี้
การได้เกิด เป็นมนุษย์ สุดจะดี
เพราะว่ามี เวลา จะสร้างบุญ

๐ อย่าให้วัน นั้นผ่านไป โดยไร้ค่า
เพียรเสาะหา ความดี มาเกื้อหนุน
สร้างความดี สะสมไว้ ให้เป็นทุน
บุญเกื้อหนุน จะส่งให้ ได้ไปดี….

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕…