ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๓๒

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๓๒…

…มีผู้ปรารถนาดีหวังดีมาถามอยู่เสมอว่าทำไม่ไม่อยู่อย่างผู้อื่นเขา ไม่เอาอย่างเขาก็ได้ตอบเขาไปว่า เราอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่เคยคิดที่จะสร้างภาพมายาให้คนมากราบไหว้ศรัทธาชื่นชมกล่าวยกย่องสรรเสริญ อยู่กับความเป็นจริงทำในสิ่งที่ควรทำตามความเหมาะสมในขณะนั้น เพราะกระบวนการแห่งการลดละกิเลสตัณหานั้น มันเป็นเรื่องของจิตและคุณธรรมภายในไม่ใช่การแสดงออกทางกาย ขอเพียงเรามีสติและสัมปชัญญะที่เป็นกุศลจิตคุ้มครองอยู่ ระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อมในสิ่งที่กำลังคิดและในกิจที่กำลังทำ มีองค์แห่งคุณธรรมควบคุมกายจิตอยู่ มีความอดกลั้น อดทนต่อสิ่งยั่วยุทั้งหลายที่เป็นอกุศล ไม่เผลอใจคล้อยตามกิเลสฝ่ายต่ำ พยายามแก้ไขปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ…

…ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ เก็บทุกรายละเอียดระหว่างรายทางคือการก้าวย่างที่มั่นคงและจะไม่หลงทางไม่ใช่การขันแข่ง ไม่ใช่การแสดง ไม่ใช่การโอ้อวด แต่มันคือความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นอยู่ หมั่นเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อพัฒนาให้จิตนั้นก้าวหน้า มีความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป นั้นคือสิ่งที่คิดและกิจที่ทำ…

…บนเส้นทางสายนี้
มีผู้คนใช้สัญจรกันมากมายมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันหรืออาจจะไปในทิศทางเดียวกันหลากหลายชีวิตนานาจิตตังจะให้เหมือนกันทุกอย่างนั้นหาได้ไม่

…สำหรับการเดินทาง
ต่างคนต่างไปกันตามกำลังด้วยเสบียงกรังที่ได้สะสมกันมามิใช่โชคชะตาหรือว่าฟ้าลิขิตมิใช่นิมิตของสวรรค์หรือพรหมนั้นบันดาลทุกชีวิตก้าวเดินไปตามวิบากแห่งกรรม

…ณ จุดสิ้นสุดของการเดินทาง
คือรางวัลของชีวิตที่ทุกคนคิดหวังอยากจะไปให้ถึงซึ่งจุดนั้นจะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลวิธีการเดินทางและทางที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้มีเพียงผู้ชี้แนะทุกคนต้องก้าวเดินไปด้วยตนเอง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๕…