ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๔๗

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๔๗…

…ไม่ใช่บทความหรือเรื่องสั้น ไม่ใช่บันทึกประจำวัน แต่มันเป็นคำบอกเล่าจากความรู้สึกในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งมันเป็นจริงในขณะนั้น อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นปัจจุบันธรรม เป็นถ้อยคำที่เรียบง่าย ไร้การปรุงแต่งหรือกลั่นกรองเพราะเป็นมุมมองในขณะนั้น

…อาจจะถูกต้องหรือผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็ไม่อาจจะสรุปได้เพราะมันเป็นความรู้สึกส่วนตัว ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งคนส่วนมากไม่ยอมรับในสิ่งนั้น พยายามปกปิดหรือปฏิเสธมันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันคือกิเลสที่มีอยู่จริง ที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของเราทันทีที่ตากระทบรูปหรือรูปมากระทบตาหูได้ยินเสียง หรือเสียงมากระทบหูจมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นรับรู้รส กายได้รับการสัมผัส ความรู้สึกก็เกิดที่ใจ ดีบ้างชั่วบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ แล้วแต่เหตุและปัจจัยในขณะนั้น

…ซึ่งถ้าจิตเป็นกุศลผลก็ออกมาในทางที่ดี แต่ถ้าจิตในขณะนั้นเป็นอกุศล ผลที่ออกมา ย่อมเป็นไปในทางลบ ทั้งหมดนั้นมาจากพื้นฐานของการฝึกฝนอบรมจิตหันมามองตัวของเรา ค้นหาตัวเราเองเพื่อทำความรู้ความเข้าใจกับตัวเราเองเราต้องรู้จักใจของเรา เห็นกิเลสของเราคือเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเสียก่อนว่ามันเป็นอย่างไร เราจึงจะเข้าไปจัดการกับมันได้ เพื่อความเหมาะสมตามกำลังความรู้ความสามารถ ความพร้อมของกายและจิต โดยอาศัยจังหวะ เวลาโอกาส สถานที่ และบุคคล เป็นเหตุเป็นปัจจัย…

…รอยเท้าที่ก้าวไปจะห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปทุกขณะ ถ้าเรายังก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาบนเส้นทางที่ถูกต้อง โดยศรัทธาที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕…