ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๖

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๖…

…ธรรมจากหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง… “เราเคยเรียนธรรมะในกระดาษรู้ธรรมะตามกระดาษ สอบความรู้ในกระดาษและท่านก็รับรองความรู้ด้วยกระดาษ ซึ่งเราเคยผ่านมาแล้วเมื่อเรามาปฏิบัติก็จะทราบได้เองว่าธรรมะที่เกิดจากสัญญา (เรียน จำได้)กับธรรมะที่เกิดจากการภาวนามันต่างกันมากอยู่ มันมีความหมายละเอียดต่างกัน มันเหมือนกับคนหนึ่งมีรูปม้าหลายๆแผ่น อีกคนหนึ่งมีม้าอยู่ตัวเดียว ถึงคราวออกเดินทางคนที่มีม้าตัวเดียวยังดีกว่าคนที่มีรูปม้าหลายแผ่น เพราะอันหนึ่งมันใช้ได้ อันหนึ่งใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ผู้มาประพฤติปฏิบัติย่อมรู้เองได้ไม่ใช่เรื่องบอกกัน”…

…รำพึงธรรมกับสายลมและสายฝน…

๐ เหนื่อยล้ากับการแรมรอนของชีวิต บางครั้งเคยคิดที่จะหยุดซึ่งลมหายใจ อยากจะจากไปโดยไม่ต้องหวนกลับมาบอกลา ซึ่งการเกิดแก่และเจ็บตายแต่ยังทำไม่ได้เพราะบุญกุศลนั้นไม่เพียงพอ จึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่แสนจะวุ่นวาย ทำให้ยอมรับกับความจริงสิ่งเหล่านั้นให้ได้

๐ สิ่งทั้งหลายมันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มีมากน้อยแตกต่างกันไปในทุกผู้คนบนโลกใบนี้เพราะความไม่พอดีและพอเพียงของจิตที่คิดกันไป ทำให้ธรรมชาติทั้งหลายนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามแรงของกิเลสและตัณหาของมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมชาตินั้นจึงเอาคืนเมื่อเราไปฝืนกฎของธรรมชาติ

๐ อนาถ สลด สังเวช เป็นเหตุแห่งความเบื่อหน่าย ทำให้จิตนั้นจางคลายจากกิเลสตัณหาและอัตตา เข้าใจซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในจิตและความคิดของตน แม้แต่ความอยากจะหลุดพ้นมันก็คือตัวตัณหา เมื่อจิตนั้นได้คิดและพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเห็นที่มาและที่ไป เหตุและปัจจัยที่ทำให้มันเกิด เมื่อเห็นจิตรู้ใจก็ให้เห็นธรรมว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๙ กันยายน ๒๕๖๕…