ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๙

…ใคร่ครวญธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๙…

…ออกพรรษามาแล้วได้สองวันพิจารณาทบทวนในสิ่งที่ผ่านมาคุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไปสอนให้เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ควบคุมความรู้สึกต่ออารมณ์กระทบทั้งหลายได้เร็วขึ้นมีสติและสัมปชัญญะมากกว่าอดีตที่ผ่านมา กาลเวลาสอนให้ระลึกนึกคิดรู้ถูกผิด ผิดชอบชั่วดี มีการเจริญเมตตาจิตเพิ่มขึ้น จากการที่อยู่กับธรรมชาติและสรรพสัตว์รอบกายดำเนินชีวิตไปตามบทบาทและหน้าที่ด้วยการมีสติและสัมปชัญะควบคุมอยู่การหมั่นฝึกคิดพิจารณาทุกอย่างให้เป็นธรรมะนั้น ช่วยให้ละวางได้อย่างมาก โดยการฝึกคิดพิจารณาเข้าหากฎของพระไตรลักษณ์เห็นถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งทั้งหลายรอบกาย ความแปรเปลี่ยนไปไม่เที่ยงแท้ ยึดถือไม่ได้และรู้ถึงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เมื่อจิตเข้าไปยึดถือก็ทำให้เกิดทุกข์ จิตก็ปล่อยวางทุกอย่างเป็นไปตามกฎของพระไตรลักษณ์ คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา…

…” ท่านมาเราดีใจ ท่านกลับไปเราคิดถึง “…

…เป็นคำคม ที่ดี มีความหมาย
ทั้งคมคาย ลึกซึ้ง ติดตรึงจิต
เมื่อได้ฟัง ให้หวน มาครวญคิด
ถึงหมู่มิตร ที่ห่างหาย ไม่เจอกัน

…เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุข ในครั้งเก่า
เมื่อวัยเยาว์ รักใคร่ ไม่เดียดฉันท์
เคยช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ และแบ่งปัน
ความสัมพันธ์ ฉันท์เพื่อน นั้นเตือนใจ

…วันเวลา ผ่านไป ให้พลัดพราก
ต้องมาจาก แยกย้าย เพื่อสิ่งใหม่
เพราะต่างคน ต่างวิถี และที่ไป
แต่ในใจ คิดถึงเพื่อน ไม่เลือนราง

…เพราะต่างคน มีภาระ และหน้าที่
จึงไม่มี เวลา ที่จะว่าง
และเพราะอยู่ ห่างไกล ในเส้นทาง
จึงได้ห่าง ไกลกัน มันจำเป็น

…ความเป็นเพื่อน ไม่ลืมเลือน ไปจากจิต
คิดถึงมิตร ยามเมื่อ ไม่พบเห็น
อยากจะรู้ ความเป็นอยู่ ที่เพื่อนเป็น
อยากจะเห็น พบปะ สนทนา

…ยามเพื่อนมา เยี่ยมเยือน เหมือนเตือนจิต
ทำให้คิด คำว่าเพื่อน นั้นมีค่า
ความจริงใจ ของเพื่อน ที่ให้มา
นั้นมีค่า มากกว่า ทรัพย์เงินทอง

…กำลังใจ คือสิ่ง สำคัญสุด
จะช่วยฉุด ให้ใจ ไม่เศร้าหมอง
ยามท้อแท้ กำลังใจ ใช้ประคอง
ช่วยปกป้อง ปลุกใจ ให้มั่นคง

… ” เสียอะไร เสียได้ ใจอย่าเสีย
ถึงจะอ่อน จะเพลีย อย่าได้หลง
มีสติ กำลังใจ ที่มั่นคง
จะเสริมส่ง ปลุกใจ ให้กลับมา “….

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕…