รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๖๑

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๖๑…

…ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสภาวะแห่งปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนโดยการปฏิบัติ การศึกษาปริยัติ การอ่าน การฟังนั้นเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน เป็นเพียงการเก็บข้อมูลหาแนวทาง หาแบบอย่างที่จะนำไปปฏิบัติ เพียงแต่ฟัง เพียงแต่อ่านเพียงแต่คิด จิตนั้นยังไม่ถือว่าเข้าถึงธรรมจำได้ พูดได้และเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความคิด เป็นเพียงนามธรรมเป็นเพียงความฝัน เป็นเพียงจินตนาการ

…ตราบใดที่ยังไม่ได้เอาธรรม ที่ได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษานั้น นำมาปฏิบัติ ก็เป็นได้เพียงนกแก้วนกขุนทอง ที่ท่องได้พูดได้เป็นเพียงใบลานเปล่า เพราะว่ายังไม่เข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริง “รู้ธรรม เห็นธรรมเข้าใจธรรม แต่ยังไม่ได้ทำ ” จึงเข้าไม่ถึงธรรม ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่และไม่ได้อยู่ในธรรม…

…ดีหรือชั่ว นั้นรู้ อยู่แก่จิต…

๐ วันเวลา ผ่านไป ไม่หวนกลับ
เกิดแล้วดับ สลับกัน นั้นเสมอ
มีเรื่องราว มากมาย ให้เจอะเจอ
อย่าพลั้งเผลอ มีสติ แล้วตริตรอง

๐ ดีหรือชั่ว นั้นรู้ อยู่แก่จิต
ถูกหรือผิด จำไว้ ในสมอง
ให้ถูกต้อง ตามธรรม ตามครรลอง
อะไรถูก อะไรต้อง จงตรองดู

๐ มีสติ อยู่กับกาย และกับจิต
ควรพินิจ ศึกษา และใฝ่รู้
มีตัวอย่าง มากมาย ให้เป็นครู
ให้เรารู้ กายจิต ก่อนคิดทำ

๐ จะไม่พลาด ไม่พลั้ง เพราะยั้งคิด
ไม่เผลอจิต ปล่อยไป ให้ถลำ
ให้โมหะ อัตตา เข้าครอบงำ
ประกอบกรรม ทำบาป ที่หยาบคาย

๐ มีสติ เตือนตน จึงพ้นผิด
มีความคิด คุณธรรม นำจุดหมาย
มีศรัทธา แต่อย่าเชื่อ อย่างงมงาย
มีจุดหมาย จุดยืน ที่แน่นอน

๐ ยึดถือหลัก พรหมวิหาร ประการสี่
มีเมตตา ไมตรี ไม่หลอกหลอน
กรุณา ปราณี ตามขั้นตอน
มุทิตา โอนอ่อน เมื่อทำดี

๐ อุเบกขา นั้นมา เป็นสุดท้าย
ไม่คาดหมาย ทำไป ตามหน้าที่
ไม่หวังสิ่ง ตอบแทน เมื่อทำดี
อุเบกขา เมื่อหน้าที่ เราสมบูรณ์

๐ พรหมวิหาร คือฐาน แห่งพุทธะ
ในทสะ บารมี มิเสื่อมสูญ
ยิ่งให้มาก ยิ่งได้มา ทวีคูณ
จะเพิ่มพูน บุญกุศล ให้ตนเอง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *