…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๒…
…สติและสัมปชัญญะนั้นต้องมีควบคู่กันในการเจริญสติภาวนา เพื่อให้ไม่หลงอารมณ์กัมมัฏฐาน ไม่หลงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้น การเจริญสมถะสมาธินั้นอาจจะทำให้หลงอารมณ์ได้ง่าย เพราะว่าเน้นไปที่กำลังของสติแต่เพียงอย่างเดียวคือ ดู รู้ เห็น แต่เฉพาะที่กำลังเพ่งดูอยู่ไม่รับรู้ในปัจจุบันธรรม
…สมาธิที่ไม่มีศีลเป็นพื้นฐานนั้นมันจะขาดคุณธรรมคุ้มครองขาดซึ่งหิริและโอตตัปปะ ทำให้เกิดอัตตาและมานะทิฏฐิ คือการหลงตัวเองคิดว่าตนเองนั้นบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นเก่งกว่าผู้อื่น ดีกว่าผู้อื่น ซึ่งเป็นการผิดทาง เพราะสมาธิที่เป็นพื้นฐานแห่งปัญญาในหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นสมาธิที่เป็นไปเพื่อความจางคลายแห่งอัตตามานะ เป็นไปเพื่อความลดละซึ่งมานะทิฏฐิทั้งหลาย เพื่อความจางคลายของกิเลสตัณหาและอุปาทานจึงต้องมาจากพื้นฐานแห่งศีลทั้งหลายเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็น “สัมมาสมาธิ” ถูกต้องตามหลักของมรรค ๘ ดั่งพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ว่า… “ดูกรภิกษุทั้งหลายปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟกองใหญ่ กำจัดความมืดให้ปลาสนาการ มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ”…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒ มิถุนายน ๒๕๖๕…