เรียงร้อยธรรมไปตามกาล ปัจฉิมบท

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล ปัจฉิมบท…

…“ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด” เป็นคำสอนที่กล่าวกันมานานแล้วและเป็นความจริงมาตลอด เพราะว่ามนุษย์เรานั้นในยามที่มีความสุขมักจะหลงเพลิดเพลินลืมคิดถึงธรรม ดั่งที่เคยเขียนโศลกธรรมบทหนึ่งไว้ว่า “ตราบใดที่ยังมีหนทางไปใจย่อมไม่นึกถึงพระธรรม แต่เมื่อคุณชอกช้ำพระธรรมคือที่พึ่งสำหรับคุณ”

…และโศลกธรรมอีกบทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “เมื่อยังไม่ถึงกาลเวลาที่เหมาะสม จิตย่อมเข้าไม่ถึงธรรม จึงยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้อดทนรอให้เขามีความพร้อมจึงกล่าวธรรม”

…เหตุที่ยกโศลกธรรมทั้งสองบทนี้มากล่าวอ้างถึงก็เพราะว่า มีญาติโยมมาถามว่าทำไมไม่รับเทศน์ตามงานต่างๆที่เขานิมนต์ ก็ตอบญาติโยมไปว่าเทศน์ไม่เป็น เป็นแต่กล่าวธรรมเพราะว่าการเทศน์นั้นต้องมีรูปแบบและพิธีการซึ่งส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นกลายเป็นเพียงกิจกรรมประกอบพิธี เพราะว่าผู้ที่มาฟังนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาฟังธรรม แต่จะมาเพื่อร่วมงานกับเจ้าภาพเป็นส่วนใหญ่

…แต่งานบรรยายธรรมนั้น มันบอกชัดว่าคนที่มานั้นต้องมาฟังธรรม คือคนที่ไม่พร้อมจะไม่มาการกล่าวธรรมนั้นจึงมีประโยชน์กว่า เพราะว่าผู้ฟังมีความตั้งใจและใคร่ที่จะฟัง ซึ่งมันตรงกับลักษณะของเราคือ “ไร้รูปแบบ แต่ไม่ไร้สาระธรรมะที่ไร้รูปแบบ เรียบง่ายแต่ไม่ใช่มักง่าย” จะเน้นเป็นรายบุคคลที่เขาสนใจและเข้ามาหาเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำ เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีภูมิธรรมที่แตกต่างกัน สิ่งที่ได้ปฏิบัติมาไม่เหมือนกัน จะไม่ใช้การบรรยายแบบเหวี่ยงแห แต่จะเน้นเป็นรายบุคคล ซึ่งจะได้ผลที่แตกต่างกันมาก เพราะได้สรุปมาจากการที่เคยเป็นพระนักเทศน์มาระยะหนึ่งและได้หยุดรับงานเทศน์ รับแต่งานบรรยายธรรมเพียงอย่างเดียว…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *