ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๕๘

…ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๕๘…

…ทุกสิ่งอย่างสามารถที่จะสงเคราะห์เข้ากับหลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาพระสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าเรานั้นเปิดใจ ยอมรับความเป็นของสรรพสิ่งที่เป็นไปในโลกนี้ บนหลักของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน แปรเปลี่ยนไปได้ทุกโอกาส ตามเหตุและปัจจัย

…ซึ่งถ้าเราเข้าใจและทำใจยอมรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่เข้าไปยึดติดยึดถือในความอยากให้เป็นไปตามที่ใจเราอยากจะให้มันเป็น ใจของเราก็จะไม่เป็นทุกข์หรือความทุกข์ที่มีอยู่ก็จะลดน้อยถอยลง

…เพียงเราเปลี่ยนมุมมองและความคิดชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป จะดีหรือร้ายมันอยู่ที่ใจและการกระทำของตัวเราเอง…

๐ มองโลก และมองธรรม
แล้วน้อมนำ มาใคร่ครวญ
ฝึกฝน และทบทวน
อย่าด่วนรีบ สรุปลง

๐ ที่รู้ และที่เห็น
อาจไม่เป็น เพราะเราหลง
สติ ไม่มั่นคง
จึงหลงใน อารมณ์ธรรม

๐ พินิจ และไตร่ตรอง
และจงมอง ให้ลึกล้ำ
มองธรรม จากที่ทำ
แล้วพินิจ คิดใคร่ครวญ

๐ ที่รู้ และที่เห็น
และที่เป็น นั้นมีส่วน
ให้รู้ สิ่งที่ควร
อย่าด่วนคิด ว่าเข้าใจ

๐ ธรรมะ นั้นมากมาย
มีอีกหลาย ข้อสงสัย
ธรรมะ มีทั่วไป
จะรับรู้ ถ้าใคร่ครวญ

๐ ธรรมะ คือความจริง
สรรพสิ่ง ล้วนมีส่วน
ตามเหตุ ตามสมควร
ทุกสิ่งนั้น ตถตา

๐ มันเป็น เช่นนั้นเอง
จงรีบเร่ง ภาวนา
จิตนิ่ง เกิดปัญญา
เข้าใจธรรม ที่แท้จริง

๐ ปัญหา เกิดจากจิต
จากความคิด ที่ไม่นิ่ง
ไม่รับ ความเป็นจริง
ธรรมชาติ ที่ควรเป็น

๐ ฝืนกฎ ธรรมชาติ
จึงได้พลาด อย่างที่เห็น
ชอกช้ำ และลำเค็ญ
ก้าวผิดพลาด เพราะหลงทาง

๐ หลงทาง ในความคิด
เพราะว่าจิต นั้นออกห่าง
ไม่ลด และละวาง
แต่เพิ่มพูน กิเลสตน

๐กิเลส และตัณหา
ตัวนำพา ใจสับสน
เวียนว่าย ในวังวน
ประสพเคราะห์ ตามเวรกรรม

๐ เอาธรรม นั้นนำทาง
ส่องสว่าง พบสุขล้ำ
รอยทาง และรอยธรรม
นำไปสู่ ซึ่งความจริง….

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๑ กันยายน ๒๕๖๕…