ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๙๕

…ใคร่ครวญธรรมตามกาลเวลา บทที่ ๙๕…

…จิตรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล สิ่งนั้นควรหรือไม่ควร แต่จิตนั้นมันอดปรุงแต่งตามไม่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า กำลังของกุศลจิตยังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปยับยั้งมิให้คิดและทำได้ สตินั้นเรามีอยู่ เพราะเราระลึกรู้ได้ว่ามันเป็นอะไรดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรแต่ความเคยชินเก่าๆที่เราเคยทำมาเคยคิดมา มันมีกำลังมากกว่า ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะปรุงแต่งและกระทำในสิ่งที่ผิด…

…วันเวลา ผ่านไป ไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่ง เกิดดับ แล้วลับหาย
ผ่านเรื่องราว หลายหลาก มามากมาย
บทสุดท้าย งานเลี้ยง ย่อมเลิกรา

…ชีวิตเรา มีทั้งเศร้า และทั้งสุข
บางครั้งทุกข์ เพราะใจ นั้นใฝ่หา
หลงเพลินไป ในกิเลส และมายา
เพราะตัณหา ความอยาก ที่มากมาย

…เมื่อพบทุกข์ ควรหันมา เข้าหาธรรม
เพื่อจะนำ จิตสู้ สู่ความหมาย
เพื่อวางจิต วางใจ ให้ผ่อนคลาย
จิตสบาย กายสุข ก็เห็นทาง

…เมื่อจิตโปร่ง โล่งเบา เอาจิตรู้
เฝ้าตามดู จิตนั้น อยู่มิห่าง
เมื่อเห็นกาย เห็นจิต ก็เห็นทาง
เมื่อจิตว่าง ก็เห็นธรรม กำหนดไป

…รู้อะไร ไม่สู้ รู้กายจิต
รู้ความคิด ของตน ตั้งต้นใหม่
มาดูกาย มาดูจิต มาดูใจ
ทำอะไร คิดอะไร ให้รู้ทัน

…มีสติ ระลึกรู้ อยู่ทั่วพร้อม
แล้วก็น้อม นำจิต คิดสร้างสรรค์
อยู่กับธรรม จิตให้รู้ ปัจจุบัน
เมื่อรู้ทัน ก็ไม่หลง มั่นคงไป

…จงศรัทธา ในความดี ที่มีอยู่
และเรียนรู้ พัฒนา หาสิ่งใหม่
เพื่อให้ธรรม ก้าวหน้า ยิ่งขึ้นไป
แล้วจะได้ พบสุข ไม่ทุกข์ทน

…สุขในธรรม ล้ำค่า หาใดเปรียบ
ไม่อาจเทียบ กับสุข ในทุกหน
เป็นความสุข ที่รู้ได้ เฉพาะตน
ต้องฝึกฝน ภาวนา หาให้เจอ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๕…