…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๔๐…
“ภิกษุทั้งหลาย! เราประพฤติพรหมจรรย์นี้มิใช่เพื่อหลอกลวงคน เพื่อให้คนบ่นถึงเพื่อผลคือลาภสักการะและชื่อเสียงเพื่อเป็นเจ้าลัทธิ เพื่อให้คนทั้งหลายรู้จักเรา ก็หามิได้ แต่ที่จริงแล้วเพื่อความสังวรระวัง เพื่อละกิเลสเพื่อคลายกิเลส และเพื่อดับกิเลสเท่านั้น”
…พุทธสุภาษิต พรหมจริยสูตร ๒๑/๒๙…
…“รู้ไปหมด แต่อดไม่ได้” เราทุกคนต่างก็รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิดแต่เรายังคิดและเรายังทำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์แห่งคุณธรรมของเรานั้นยังไม่เพียงพอ เราได้แต่รู้ เราได้แต่คิด แต่ไม่ได้พิจารณาถึงคุณ ถึงโทษถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสิ่งนั้น เรายังไม่ได้ลงมือทำในการฝึกจิต จึงเป็นได้เพียงความคิดและความฝันซึ่งเป็นเพียง “นามธรรม” อันยังจับต้องสัมผัสไม่ได้
…จิตรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร แต่จิตนั้นมันอดที่จะปรุงแต่งตามไม่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ากำลังของกุศลจิตยังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปยับยั้ง มิให้คิดและทำได้
…สตินั้นเรามีอยู่ เพราะเราระลึกรู้ได้ว่ามันเป็นอะไร ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร แต่ความเคยชินเก่า ๆ ที่เราเคยทำมาเคยคิดมา มันมีกำลังมากกว่า ทำให้เรานั้นอดไม่ได้ทีจะปรุงแต่งและกระทำในสิ่งที่ผิด
…ขบวนการทางจิตมันละเอียดอ่อนมากทุกขั้นตอนของการพัฒนาทางจิตนั้นต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ ตามลำดับชั้นและตามขั้นตอน เพื่อเป็นการสร้างความเคยชินตัวใหม่ให้แก่จิตของเรา ซึ่งกว่าจะกลายเป็นความเคยชินได้นั้น มันต้องใช้ระยะเวลาของการสั่งสมอบรมฝึกจิตด้วยการฝึกคิดและฝึกทำอย่างสม่ำเสมอ…
…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๐ เมษายน ๒๕๖๕…