เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๕

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๕…

…สภาพดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจอากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีลม จิตนั้นเกิดความกังวลและปฏิฆะต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สติระลึกรู้ได้ทัน เห็นการเกิดของอารมณ์ความรู้สึก เจาะลึกเห็นการเกิดของอารมณ์ปฏิฆะและปลิโพธนั้นพิจารณาธรรมตามสภาวะ เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรม เข้าใจในสภาพของดินฟ้าอากาศว่าสิ่งเหล่านั้น “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

…สิ่งที่กังวลนั้นคือ ช่วงนี้เป็นฤดูฝนซึ่งย่อมจะเกิดฝนตกหนักขึ้นได้ง่ายซึ่งจะทำให้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการเข้าอยู่ปริวาสกรรมปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์ ความกังวลใจจึงเกิดขึ้นแต่ทุกอย่างนั้นย่อมเกิดขึ้นได้เสมอเพราะความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๕”

รำพึงธรรมและคำกวีก่อนทำวัตรเช้า

…รำพึงธรรมและคำกวีก่อนทำวัตรเช้า…

…บอกกล่าวแก่พระภิกษุที่อยู่ร่วมกันเสมอว่า “เราอยู่ร่วมกันโดยธรรมวินัยเหมือนดอกไม้นานาพันธุ์ที่หลายหลากสีสัน แต่เมื่อเอามาจัดรวมกันก็ดูสวยงามเหมือนพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ที่มีธรรมวินัยเป็นเครื่องอยู่ จึงดูงดงาม”

…ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจนำไปสู่ความสำเร็จ ความสำเร็จจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของหมู่คณะและองค์กร สอนแบบไม่ได้สอนนั้นคือการกระทำให้ดู อยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่าง สร้างจิตสำนึกแห่งคุณธรรมต่อส่วนรวม คือแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง…

อ่านเพิ่มเติม “รำพึงธรรมและคำกวีก่อนทำวัตรเช้า”

ปรารภธรรมก่อนทำวัตรเย็น

…ปรารภธรรมก่อนทำวัตรเย็น…

…การเป็นผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบในภายหลัง ถ้าเราให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนในการให้ของเรานั้นวันเวลาที่ผ่านพ้นไปคือบททดสอบความอดทนของเรา ว่าเรามีศรัทธามั่นคงเพียงใดในสิ่งที่เรากระทำการดำเนินชีวิตของเรานั้นต้องเป็นไปโดยชอบและประกอบด้วยกุศล เพื่อให้เป็นมงคลต่อชีวิตโดยมีคติที่ว่า “ไม่เป็นภัยต่อชีวิตไม่เป็นพิษต่อต่อผู้อื่น ไม่ฝ่าฝืนธรรมวินัยและศีลธรรมอันดีงาม”…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๘ เมษายน ๒๕๖๔…

คือบทเพลงแห่งความปรารถนาดี

…คือบทเพลงแห่งความปรารถนาดี…

๐ เมื่อสายลม พัดผ่าน ม่านหมอกเมฆ
แว่ววิเวก เสียงลม ประสมสาน
อาทิตย์ลับ ขอบฟ้า มาเนิ่นนาน
เข้าสู่กาล ราตรี ที่มืดมน

๐ ชีวิตดั่ง เรือน้อย ลอยโต้คลื่น
ผ่านวันคืน ตื่นหลับ ให้สับสน
เหมือนอยู่ใน โลกกว้าง แห่งวังวน
หลากผู้คน ผ่านมา แล้วจากไป

๐ เป็นแค่เพียง คนรู้จัก มาพักผ่อน
แล้วก็จร จากลา เมื่อฟ้าใส
สายสัมพันธ์ เส้นนั้น ไม่ยาวไกล
เมื่อเขาได้ ก็จากลา ไม่อาวรณ์

๐ คำโบราณ ท่านกล่าว ให้เราคิด
เมื่อมั่งมี หมู่มิตร หน้าสลอน
ยามจนยาก เพื่อนจาก ดั่งคำกลอน
ให้สะท้อน น้อยใจ ในบางครา

๐ ที่เราคิด ว่ามิตร เพราะชิดใกล้
แต่ใช่คน รู้ใจ ที่โหยหา
คำว่ามิตร นั้นต้องผ่าน กาลเวลา
พิสูจน์ว่า เป็นมิตรแท้ จนแน่ใจ

๐ ระยะทาง พิสูจน์ กำลังม้า
กาลเวลา พิสูจน์ ยุคสมัย
เมื่อยามทุกข์ ใครให้ กำลังใจ
ช่วยแก้ไข คือมิตรแท้ ที่แน่นอน

๐ มารวมใจ สายใย สายสัมพันธ์
ช่วยเหลือกัน ยามที่ เพื่อนทุกข์ร้อน
ตามกำลัง ช่วยเหลือ เอื้ออาทร
ขออ้อนวอน สักครั้ง ด้วยหวังดี

๐ มาร่วมมือ รวมใจ ให้ประจักษ์
มาแสดง ความรัก และศักดิ์ศรี
มาแสดง น้ำใจ และไมตรี
มอบสิ่งดี แก่เพื่อน เตือนความจำ

๐ มิตรภาพ ของพวกเรา เมื่อเก่าก่อน
ผ่านหนาวร้อน อดอยาก และอิ่มหนำ
เคยร่วมสร้าง ความดี วีรกรรม
บุญที่ทำ กันมา พาผูกพัน

๐ คือสายใย สายสัมพันธ์ ที่มั่นคง
อยู่ดำรง แน่แท้ ไม่แปรผัน
มอบความรัก กำลังใจ ให้แก่กัน
เพราะเชื่อมั่น ศรัทธา และหวังดี…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๕

…บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๕…

…รำพึงธรรมในราตรีกาล…

…เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า
สายลมพัดกระโชกผ่านมา
เม็ดกล้าแห่งพืชพันธุ์เบ่งบาน
รอการเริ่มต้นของชีวิตใหม่
เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า
หน้าฝนกำลังจะมาเยือน
ฤดูกาลใหม่กำลังมาเยือน
เปลี่ยนไปตามฤดูกาล…

…กาลเวลาที่ผ่านไป
เก็บเกี่ยวอะไรได้มากมาย
ได้รู้และเข้าใจในชีวิต
เห็นความถูกผิดในความคิด
และสิ่งที่ได้กระทำที่ผ่านมา
ได้รู้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นยังไกล
และต้องก้าวเดินต่อไปสู่จุดหมาย…

…ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา
ใต้ร่มเงาหมู่มวลพฤกษา
บนจุดหนึ่งของกาลเวลา
ถามตนเองเสมอว่าแสวงหาสิ่งใด
ทบทวนดูถึงสิ่งที่ผ่านไป
จงรู้ว่าความหวังที่ตั้งไว้
นั้นก้าวไกลถึงไหนแล้ว…

.. ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
… ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔…

รำพึงธรรมคำกวีที่ขนำน้อย

…รำพึงธรรมคำกวีที่ขนำน้อย…

…สายลม…
โอบกอดเมฆหมอกบนฟ้า
เริงร่าเคลื่อนคล้อยลอยไหล
ใบไม้ต้องลมแกว่งไกว
เมฆน้อยลอยไหลไปมา
ท้องฟ้าเมื่อคราหลังฝน
ที่เคยหมองหม่นก็แจ่มใส
เมฆหมอกครึ้มดำก็เปลี่ยนไป
กลายเป็นเมฆใหม่นวลตา

…สายน้ำ…
ไหลรินเรื่อยไปไม่ขาดสาย
หลังฝนสายน้ำก็กลับกลาย
จากที่เคยใสเป็นขุ่นแดง
ไหลแรงและสูงขึ้นกว่าเดิม
ฝนเติมกำลังให้กับสายน้ำ
สายน้ำเมื่อยามหลังฝน
ขุ่นข้นและไหลเชี่ยวแรง

…แสงแดด…
สาดส่องผ่านม่านเมฆหมอก
บ่งบอกให้รู้ว่าฟ้าแจ่มใส
คือฟ้าหลังฝนที่เปลี่ยนไป
กลับมาแจ่มใสหลังมืดมน
ปลุกปลอบใจคนให้ตื่นฟื้นมา
ผีเสื้อ แมงปอเริงร่าออกโบยบิน
ไอกลิ่นของดินลอยโชยมา

…สายลม…สายน้ำ…แสงแดด…
เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
เป็นอย่างนั้นมานานและต่อไป
แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ใจ
ขึ้นอยู่กับจิตที่จะจินตนาการ
ความอยากและความต้องการ
ของแต่ละคนในเวลาขณะนั้น
ที่แตกต่างกันด้วยสติและคุณธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๔

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๔…

…เมื่อใจนั้นยอมรับซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ว่าเรานั้นเป็นผู้กระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นผลแห่งวิบากกรรม ที่เรานั้น ได้เคยกระทำมา ไม่โทษดินโทษฟ้าหาผู้รับผิดมาแทนเรา ใจนั้นก็จะโปร่งเบา เพราะได้วางแล้วจากการยึดถือทั้งหลาย ความทุกข์ที่มีนั้นก็จะคลายและเมื่อใจสบายความคิดนั้นก็จะโปร่งโล่งเบา เพราะว่าเข้าใจในปัญหาอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้นและเมื่อทำใจยอมรับได้ซึ่งความเป็นจริงอุปสรรคปัญหาในทุกสิ่งนั้นย่อมจะมีหนทางที่จะแก้ไข อยู่ที่ว่าเรานั้นทำใจได้แล้วหรือยัง…

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๘๔”

รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๘๔

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๘๔…

…ในความเคลื่อนไหว ขอให้ใจสงบนิ่ง…

…ชีวิตคนเรานั้น มันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากมาย มันเป็นชีวิตที่เรียบง่ายถ้ารู้จักความพอดีและพอเพียง ยินดีในสิ่งควรเป็นและควรได้ เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองและเคารพในบทบาทและหน้าทีของผู้อื่น

…แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตนั้นสับสนวุ่นวายก็คือตัวกิเลสตัณหา ความทะยานอยากที่ไม่รู้จักพอ ทำให้เกิดการก้าวก่ายในบทบาทหน้าที่ของผู้อื่น ก้าวล่วงไปในสิ่งที่ควรมีและควรเป็นของตนเองล้ำไปในสิ่งที่ผู้อื่นนั้นควรจะได้รับ

อ่านเพิ่มเติม “รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๘๔”

รำพึงธรรมในยามสาย

…รำพึงธรรมในยามสาย…

…บอกกล่าวแก่ลูกศิษย์ทุกรูปเสมอว่า การจะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น ต้องทำและรู้ในทุกเรื่อง ทำได้ในทุกตำแหน่งหน้าที่และทุกบทบาท การทำงานคือการสั่งสมประสบการณ์ คือการปฏิบัติธรรม

…การเป็นผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบในภายหลัง ถ้าเราให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนในการให้ของเรานั้นวันเวลาที่ผ่านพ้นไปคือบททดสอบความอดทนของเรา ว่าเรามีศรัทธามั่นคงเพียงใดในสิ่งที่เรากระทำ

…การดำเนินชีวิตของเรานั้น ต้องเป็นไปโดยชอบและประกอบด้วยกุศล เพื่อให้เป็นมงคลต่อชีวิตโดยมีคติที่ว่า “ไม่เป็นภัยต่อชีวิตไม่เป็นพิษต่อต่อผู้อื่น ไม่ฝ่าฝืนธรรมวินัยและศีลธรรมอันดีงาม”

…จงทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย อย่าได้เรียกร้องมากจนเกินไป ทำความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตของชุมชน ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เหมาะสมกับจังหวะ เวลา โอกาส สถานที่และบุคคล อย่าคาดหวังผลของสิ่งที่ทำมากจนเกินไป ต้องเตรียมใจยอมรับในความเป็นอนิจจัง

…นี้คือคำที่คอยย้ำเตือนบรรดาลูกศิษย์เหล่าสมณะ “กรรมกรธรรม” ทั้งหลายให้พึงระลึกอยู่เสมอ…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๘ เมษายน ๒๕๖๔…

ปรารภธรรมคำกวี ๔ บท

…ปรารภธรรมคำกวี ๔ บท…

๐ ตะวันรอน อ่อนแสง แรงอ่อนล้า
เก็บรักษา พลังงาน เพื่อกาลใหม่
ปล่อยให้วัน เวลา เคลื่อนคลาไป
กำหนดใจ กำหนดจิต คิดถึงธรรม

๐ เกิดเบื่อหน่าย จางคลาย ในกายนี้
ล้วนสิ่งที่ ปฏิกูล ดูน่าขำ
เพราะโมหะ อวิชชา เข้าครอบงำ
จึงถลำ ยึดติด ในตัวตน

๐ ก่อกำเนิด เกิดอัตตา ตัวมานะ
ไม่ยอมละ ยอมวาง จึงสับสน
เพราะโมหะ จริต จิตมืดมน
หลงตัวตน อย่างที่เห็น และเป็นมา

๐ เมื่อยอมละ ยอมวาง จิตว่างโปร่ง
ก็เบาโล่ง สุขสบาย ไร้ปัญหา
เมื่อลดละ มานะ ตัวอัตตา
อวิชชา ก็สลาย จางคลายไป…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕…