โลกและธรรมก้าวเดินไปให้พร้อมกัน

…โลกและธรรมก้าวเดินไปให้พร้อมกัน…

๐ เมื่อรู้เขา รู้เรา เข้าใจหมด
ก็กำหนด แนวทาง ที่วางไว้
ว่าจะให้ มันเป็น อย่างเช่นไร
กำหนดได้ ถ้าเข้าใจ ในบุคคล

๐ บทกวี ของหลวงพ่อ พุทธทาส
ผู้เป็นปราชญ์ กล่าวไว้ ให้น่าสน
เกี่ยวกับความ เป็นอยู่ ของผู้คน
ทุกแห่งหน ควรตรอง และมองดู

…“เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนดี ที่มีอยู่
เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย”…

อ่านเพิ่มเติม “โลกและธรรมก้าวเดินไปให้พร้อมกัน”

เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๙

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๙…

…“ความเบื่อกับความอยากเป็นของคู่กัน” เมื่อความอยากเกิดขึ้นจิตก็ดิ้นรนขวนขวาย หาเหตุและปัจจัยมาสนองตอบซึ่งความอยากเหล่านั้นถ้าสนองตอบตัณหาความอยากได้จิตก็ยินดี ถ้าไม่ได้ตามที่ปรารถนาจิตมันก็เกิดปฏิฆะ ขุ่นมัว เศร้าหมองและเมื่อเสพในความอยากนั้นจนเต็มที่แล้ว จิตมันก็จะเบื่อในอารมณ์นั้นความอยากในสิ่งอื่นก็เข้ามาแทนที่มันเป็นเช่นนี้เรื่อยมาคือ “อยาก ๆ เบื่อ ๆ แล้วก็เบื่อ ๆ อยาก ๆ ” ตามกิเลสตัณหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของอารมณ์ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์เหล่านี้ชีวิตของเราก็จะไม่มีความสุขสงบเพราะเราต้องดิ้นรนขวนขวายหาปัจจัยมาสนองตอบตัณหาไม่สิ้นสุด…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

ปรารภธรรมและคำกวีก่อนรุ่งอรุณ

…ปรารภธรรมและคำกวีก่อนรุ่งอรุณ…

…ธรรมะนั้นเป็นเรื่องของการกระทำไม่ใช่คำสอนที่อยู่ในคัมภีร์หรือใบลาน ไม่ใช่การอ่านให้จำได้แล้วเอาไปอวดรู้ ธรรมะทั้งหลายอยู่ที่กายและที่จิต อยู่ในทุกความคิดและทุกอย่างที่ทำ เพราะว่าธรรมะนั้นคือธรรมชาติของจิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะ เวลาและโอกาส สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติทั้งหลาย…

…ฟ้ามืด มืดไม่นาน
เมื่อพ้นผ่าน กาลเวลา
หน้ามืด เมาตัณหา
ยากจะแก้ แก่เกินกาล

…มัวเมา ในชีวิต
เพราะหลงผิด ไร้แก่นสาร
ลาภยศ อยู่ไม่นาน
ก็ต้องพราก จากกันไป

อ่านเพิ่มเติม “ปรารภธรรมและคำกวีก่อนรุ่งอรุณ”

ปรารภธรรมในยามเย็น

…ปรารภธรรมในยามเย็น…

…การปฏิบัติธรรมคือการทำสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น แล้วรักษาสิ่งที่มีมิให้เสื่อมสลาย ให้ดำรงทรงไว้และขั้นสุดท้ายคือการสลาย ทำเหมือนมันไม่มีอะไร

…สูงสุดคืนสู่สามัญ นั้นคือการเข้าสู่อารมณ์วิปัสสนา มีสติและสัมปชัญญะความระลึกรู้ ความรู้ตัวทั่วพร้อมคุ้มครองกายคุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะเป็นสภาวะของความเป็นปกติไม่มีรูปแบบ ไม่มีกระบวนท่ากระบี่อยู่ที่ใจ เก็บงำประกายรู้อยู่ภายใน ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออก การปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำที่จิตไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบทางกาย มิได้ทำไปเพื่อให้ผู้อื่นมาชื่นชม ยกย่องสรรเสริญ มิใช่การแสดง สภาวธรรมทั้งหลายเป็นของเฉพาะตน รู้ได้ด้วยตนพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติให้จริงสภาวธรรมนั้นเป็นเรื่องปัจจัตตังคือการรู้ได้เฉพาะตน…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

ใคร่ครวญธรรมและคำกวีในยามเช้า

…ใคร่ครวญธรรมและคำกวีในยามเช้า…

…ระลึกนึกถึงคำกล่าวของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้กล่าวสอนไว้ว่า “เมื่อหยุดคิดหยุดปรุงแต่งและวางทุกสิ่งลงได้ ทั้งสิ่งที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ทั้งปวง สัจธรรมจริงแท้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้รู้เห็นเอง”

…มันเป็นเช่นนี้เอง…

๐ รอนแรม มาเรียงราย
สู่จุดหมาย ที่เดียวกัน
ตามล่า หาความฝัน
จึงได้เป็น อย่างเห็นมา

๐ ตามแนว ของพุทธะ
สมณะ ผู้ค้นหา
สำรวม กายวาจา
ตั้งใจสู่ เส้นทางธรรม

๐ ฝึกฝน ปฏิบัติ
อย่างเคร่งครัด ไม่ใฝ่ต่ำ
คิดชอบ ประกอบกรรม
กุศลนี้ จึงได้มา

อ่านเพิ่มเติม “ใคร่ครวญธรรมและคำกวีในยามเช้า”

น้อมจิตพิจารณาธรรมในยามเช้า

…น้อมจิตพิจารณาธรรมในยามเช้า…

…การทำงานที่ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นั้นคือการเจริญสติสัมปชัญญะ ตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ ในอิริยาบถบรรพและสัมปชัญญะบรรพ คือพิจารณาดูอิริยาบถของกายและพิจารณารู้ตัวทั่วพร้อมในความเคลื่อนไหว ทำงานไปพิจารณาไปจนไม่ได้สนใจกับเวลาที่ผ่านไปพยายามทรงอารมณ์กรรมฐานไว้โดยการมีสติและสัมปชัญญะอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม อยู่ตลอดเวลาพิจารณาในหัวข้อธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๔ เมษายน ๒๕๖๔…

ปรารภธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ

…ปรารภธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ…

…การปฏิบัติธรรมคือการทำสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น แล้วรักษาสิ่งที่มีมิให้เสื่อมสลาย ให้ดำรงทรงไว้และขั้นสุดท้ายคือการสลาย ทำเหมือนมันไม่มีอะไร

…สูงสุดคืนสู่สามัญ นั้นคือการเข้าสู่อารมณ์วิปัสสนา มีสติและสัมปชัญญะความระลึกรู้ ความรู้ตัวทั่วพร้อมคุ้มครองกายคุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะเป็นสภาวะของความเป็นปกติไม่มีรูปแบบ ไม่มีกระบวนท่ากระบี่อยู่ที่ใจ เก็บงำประกายรู้อยู่ภายใน ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออก การปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำที่จิตไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบทางกาย มิได้ทำไปเพื่อให้ผู้อื่นมาชื่นชม ยกย่องสรรเสริญ มิใช่การแสดง สภาวธรรมทั้งหลายเป็นของเฉพาะตน รู้ได้ด้วยตนพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติให้จริงสภาวธรรมนั้นเป็นเรื่องปัจจัตตังคือการรู้ได้เฉพาะตน…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕…

เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๘

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๘…

…จะสุขใด ไหนเท่า สุขในธรรม…

๐ เจริญจิต เจริญใจ ปฏิบัติ
เพื่อขจัด ซึ่งกิเลส และตัณหา
เพื่อเสริมสร้าง จิตใจ ให้ศรัทธา
ภาวนา ให้สงบ พบที่ใจ

๐ จงดูกาย ดูจิต พร้อมดูธรรม
ดูแล้วนำ มาคิด วินิจฉัย
ดูให้เห็น ในสิ่ง ที่เป็นไป
ให้เข้าใจ สิ่งที่เห็น ความเป็นมา

๐ มองหาเหตุ ปัจจัย มองให้เห็น
สิ่งที่เป็น บ่อเกิด ของปัญหา
ใช้ความคิด ใช้สติ ใช้ปัญญา
จงมองหา มองให้เห็น ความเป็นจริง

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๘”

รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๗๘

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๗๘…

…สรุปสิ่งที่ผ่านมาทั้งในทางโลกและทางธรรม ได้เห็นความประมาทความผิดพลาดที่ผ่านมา ซึ่งบางครั้งในเรื่องราวที่เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความสำคัญอะไร เรามองข้ามไปไม่ได้นำมาคิด ขาดการพิจารณานำมาซึ่งความประมาทในธรรมโดยมันสั่งสมมาที่ละเล็กที่ละน้อยจนกลายเป็นนิสัยและความเคยชินไปในที่สุด

อ่านเพิ่มเติม “รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๗๘”

รอนแรม

…รอนแรมในโลกกว้าง
บนเส้นทางแสวงหา
ก้าวผ่านกาลเวลา
ผ่านร้อยป่าและภูดอย…

…เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๑ ธันวานคม ๒๕๕๔…