สาระกวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ

…สาระกวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ…

…กว่าจะถึง วันนี้ ของชีวิต
เคยพลาดผิด มากมาย มาหลายครั้ง
หลงเพลินไป ด้วยใจ ไม่ระวัง
จึงพลาดพลั้ง สร้างกรรม ทำบาปมา

…เดินเข้าสู่ วังวน ของคนบาป
จิตนั้นหยาบ มัวเมา ในตัณหา
ได้ก่อกรรม ทำเวร หลายครั้งครา
ก็เพราะว่า ไร้ศีลธรรม ประจำใจ

อ่านเพิ่มเติม “สาระกวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ”

ใคร่ครวญทบทวนธรรมไปตามกาล

…ใคร่ครวญทบทวนธรรมไปตามกาล…

…ในแต่ละวันที่ผ่านไปนั้น ต้องพยายามควบคุมความคิดปรับจิตให้เป็นปกติ มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายให้เป็นธรรมะว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง…ตถตา” จะให้ทุกคนเสมอกันในความรู้สึกนึกคิดและจิตสำนึกนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า “บุคคลนั้นแตกต่างกันด้วยธาตุและอินทรีย์” บารมีธรรมที่ได้สั่งสมกันมาและกรรมเก่าของแต่ละคน เขาจึงทำได้และเข้าใจในธรรมไปตามอัตภาพของเขา ซึ่งจะเอาตัวเราคือความคิดและการกระทำของเรานั้นมาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ และเมื่อเราเข้าใจในจุดนี้ ทุกอย่างในโลกนี้ “มันล้วนเป็นเช่นนั้นเอง” หน้าที่ของเราคือต้องดูแลตนเอง ดูกาย ดูจิต ดูความคิด และควบคุมจัดระเบียบชีวิตตัวเราเองให้ดีที่สุด นั้นคือทำหน้าที่ของเรานั้นให้สมบูรณ์แบบตามบทบาทและหน้าที่ที่เรารับผิดชอบอยู่ ไม่ทอดทิ้งธุระ วางเฉยเพราะจิตปฏิฆะ หรือว่าเพราะมันไม่เป็นไปตามที่เรานั้นต้องการ

อ่านเพิ่มเติม “ใคร่ครวญทบทวนธรรมไปตามกาล”

รำพึงธรรมคำกวีในยามเช้า

…รำพึงธรรมคำกวีในยามเช้า…

…ร้อยเรื่อง ก็ร้อยรส
นั้นปรากฏ ให้พบเห็น
ที่มี และที่เป็น
ล้วนแตกต่าง กันออกไป

…ไม่เหมือน แต่ว่าคล้าย
ต่างจุดหมาย กันภายใน
ต่างคน ก็ต่างใจ
ล้วนคิดกัน คนละทาง

…เกิดจาก ความคิดเห็น
จึงได้เป็น ข้อแตกต่าง
อยู่ร่วม ในเส้นทาง
ความขัดแย้ง นั้นจึงมี

อ่านเพิ่มเติม “รำพึงธรรมคำกวีในยามเช้า”

ปรารภธรรมในยามรุ่งอรุณ

…ปรารภธรรมในยามรุ่งอรุณ…

…การเรียกร้องทั้งหลายคือการแสดงออกซึ่งตัณหา คือความทะยานอยาก ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล สิ่งที่เป็นกุศลนั้นเกิดจากการปรุงแต่งในปุญญาภิสังขารส่วนที่เป็นอกุศลนั้น จะเกิดจากความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ

…ซึ่งในความเป็นสมณะนั้น เป็นไปเพื่อจางคลาย ลด ละจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย อันได้แก่…

๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า

อ่านเพิ่มเติม “ปรารภธรรมในยามรุ่งอรุณ”

กวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ

…กวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ…

…กาพย์ยานี ๑๑…
…รอยทางที่ย่างผ่านบนกาลเวลา…

…มองหา ก็มองเห็น
ซึ่งความเป็น ในโลกนี้
หลายหลาก และมากมี
ได้พบเห็น เป็นประจำ

…เห็นแล้ว เก็บมาคิด
มาพินิจ ให้เห็นธรรม
ก่อเกิด กุศลกรรม
รู้เข้าใจ ในความจริง

…ทุกสิ่ง นั้นเคลื่อนไหว
แปรเปลี่ยนไป ในทุกสิ่ง
ไม่เคย จะหยุดนิ่ง
ล้วนเกิดดับ ธรรมดา

อ่านเพิ่มเติม “กวีธรรมในยามก่อนรุ่งอรุณ”

กระแสธรรมแห่งกาลเวลา

…กระแสธรรมแห่งกาลเวลา…

…การปฏิบัติธรรมนั้น มิได้ทำให้เราหมดกิเลส แต่ทำให้เราได้เห็นกิเลสที่ซ่อนอยู่ในใจของเรา ที่เรายังไม่เคยเห็นหรือไม่เคยสนใจในสิ่งนั้น ทำให้เรารู้เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้นและมีอยู่แล้วในจิตใจของเรา…

…ขุนเขาทะเลหมอกจุดสูงสุดบนยอดดอย ก้าวเดินย่ำไปตามใจปรารถนาผ่านวันเวลามามากมายพบพานทั้งสิ่งที่ดีและเลวร้ายหลากหลายเรื่องราวมากมายสิ่งที่ทิ้งไว้คือความทรงจำ

อ่านเพิ่มเติม “กระแสธรรมแห่งกาลเวลา”

ทบทวนธรรมคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์

…ทบทวนธรรมคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์…

๐ ธรรมจากหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง ๐

“เราเคยเรียนธรรมะในกระดาษรู้ธรรมะตามกระดาษ สอบความรู้ในกระดาษและท่านก็รับรองความรู้ด้วยกระดาษ ซึ่งเราเคยผ่านมาแล้วเมื่อเรามาปฏิบัติก็จะทราบได้เองว่าธรรมะที่เกิดจากสัญญา (เรียน จำได้) กับธรรมะที่เกิดจากการภวนา มันต่างกันมากอยู่ มันมีความหมายละเอียดต่างกัน

…มันเหมือนกับคนหนึ่งมีรูปม้าหลาย ๆ แผ่น อีกคนหนึ่งมีม้าอยู่ตัวเดียว ถึงคราวออกเดินทาง คนที่มีม้าตัวเดียวยังดีกว่าคนที่มีรูปม้าหลายแผ่น เพราะอันหนึ่งมันใช้ได้อันหนึ่งใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ผู้มาประพฤติปฏิบัติย่อมรู้เองได้ ไม่ใช่เรื่องบอกกัน”…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔…

ระลึกถึงอดีตสมัยที่ยังใช้นามปากกาว่า “วจีพเนจร”

…ระลึกถึงอดีตสมัยที่ยังใช้นามปากกาว่า “วจีพเนจร”…

๐ รอนแรมและเร่ร่อน
เป็นคนจรรอนแรมไป
ทั่วถิ่นของแดนไทย
ฝากรอยเท้าบนมรรคา

๐ มากมายมวลหมู่มิตร
ไปด้วยจิตปรารถนา
ส่งเสริมซึ่งศรัทธา
พร้อมช่วยเหลือเพื่อมวลชน

๐ มวลชนเหล่าคนทุกข์
ไร้ซึ่งสุขเพราะสับสน
เวียนว่ายในวังวน
กินกามเกียรติโลกธรรม

อ่านเพิ่มเติม “ระลึกถึงอดีตสมัยที่ยังใช้นามปากกาว่า “วจีพเนจร””

รำพึงธรรมในยามดึกกับโลกใบนี้

…รำพึงธรรมในยามดึกกับโลกใบนี้…

…โลกใบนี้มันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีความเที่ยงแท้ ผันแปรเป็นไปตามกฎของพระไตรลักษณ์ นั้นคือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ยึดถืออะไรไม่ได้ ฤดูกาลอาจเปลี่ยนแปลงไปแต่จิตใจอย่าเปลี่ยนแปลง ขอให้ความศรัทธามั่นคงในคุณงามความดีจงคงอยู่ อยู่กับธรรมและจงมีธรรมเป็นเครื่องอยู่คุ้มครองจิตถึงโลกนี้จะวิปริต แต่จิตใจอย่าหวั่นไหวไปตามมัน ขอให้ศรัทธาในธรรมนั้นจงมั่นคงและยืนยาวตลอดไป

…เพียงรู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม แต่ยังไม่ได้ทำ ไม่ได้นำมาปฏิบัติถือว่ายังอยู่นอกธรรม เพราะยังไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นเพียงผู้ดูผู้รู้ผู้เห็นแต่ยังไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เหมือนกับคนที่ยืนดูอยู่นอกตัวอาคาร เมื่อสายฝนตกลงมาย่อมจะเปียกปอนเพราะว่าไม่มีที่มุงที่บังหลังคาที่จะป้องกันฝน เหมือนกับคนที่ไม่ได้อยู่ในธรรมไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เมื่อโลกนี้วุ่นวาย ใจของเขาย่อมเป็นทุกข์ไปกับมัน

…โลกใบนี้ “มันก็เป็นเช่นนั้นเอง” ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า “จิตใจคนจะเสื่อมไปจากคุณธรรมตามกาลและเวลา จนสิ้นสุดพระศาสนาเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี” เพราะโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของพระไตรลักษณ์

…“ขอเพียงความเสื่อมนั้นอย่าได้เกิดจากตัวเราเป็นผู้กระทำก็เพียงพอแล้ว”…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔…

เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๒

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๒…

…ระลึกอยู่เสมอว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นคือการสร้างบารมี เพื่อให้ใจของเรามีปีติ มีกำลังใจ ไม่เบื่อที่จะทำในสิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าคิดว่ามันเป็นภาระหรือเป็นปัญหา คิดว่าเป็นหน้าที่ที่เราต้องกระทำ เพื่อสงเคราะห์และอนุเคราะห์แก่ผู้คนทั้งหลาย ที่เขามาเพื่อหวังพึ่งเรา

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๗๒”