บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๑๐

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๑๐…

…ไม่เคยวุ่นวายใจไปกับคำนินทา ไม่เก็บคำนินทามาคิดให้รกสมอง จิตเราก็จะสบาย คำติฉินนินทานั้นคือยาชูกำลังที่จะยับยั้งไม่ให้เราหลงระเริงหยิ่งผยองลำพองใจคำนินทานั้นคือสิ่งกระตุ้นเตือนตัวเราได้คิดพิจารณาตัวของเราเขาติดีกว่าเขาชม ทำให้เรารู้ตัวว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา

…ซึ่งถ้าตัวเรานั้นเป็นจริงอย่างที่เขานั้นกล่าวนินทา เราก็จะได้รู้และปรับปรุงแก้ไข แล้วเราจะไปโกรธเขาทำไม ซึ่งถ้าเราไปโกรธตอบต่อเขา ก็เท่ากับเรานั้นกำลังแพ้ภัยกิเลสในใจของเรานั้นเอง…

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๑๐”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๙

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๙…

…รอวันเวลาแห่งพันธนาการจะหลุดพ้น คำมั่นและสัญญาที่เราต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้สมบูรณ์ เพื่อไม่ให้ค้างคาใจแล้วเราจะจากไปอย่างมีความสุขไม่ต้องกังวลใจต่อเหตุการณ์ในอดีต “อะนากุลา จะ กัมมันตา” การทำงานไม่คั่งค้างเป็นมงคลของชีวิต

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๙”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๘

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๘…

…เมื่อก่อนนั้นจิตมันหยาบแข็งกระด้าง เพราะอัตตาและมานะของเรานั้นยังไม่ถูกขัดเกลา จึงหนาแน่นไปด้วยกิเลสและตัณหา ปล่อยให้โทสะ โมหะเข้าครอบงำ พฤติกรรมที่แสดงออกมาจึงก้าวร้าวรุนแรง แต่เมื่อได้เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว ความรู้สึกนึกคิดจิตก็เปลี่ยนไป ทำให้เรารู้เห็นอะไรๆมากขึ้น รู้จักผิดชอบชั่วดี มีสติสัมปชัญญะในการดำรงชีวิต มีความคิดที่เป็นระบบมากขึ้น รู้จักการใคร่ครวญ ทบทวนพิจารณา หาซึ่งเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น รู้จักการข่มจิตข่มใจต่อส่งยั่วยวน ควบคุมความรู้สึกนึกคิดของเราได้ มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตจิตน้อมเข้าหากุศลธรรม ดำรงตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๘”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๗

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๗…

…เมื่อใจนั้นยอมรับซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ว่าเรานั้นเป็นผู้กระทำสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นผลแห่งวิบากกรรม ที่เรานั้นได้เคยกระทำมา ไม่โทษดินโทษฟ้าหาผู้รับผิดมาแทนเรา ใจนั้นก็จะโปร่ง โล่ง เบา เพราะได้วางแล้วจากการยึดถือทั้งหลาย ความทุกข์ที่มีนั้นก็จะคลาย และเมื่อใจสบายความคิดนั้นก็จะโปร่งโล่งเบา เพราะว่าเข้าใจในปัญหาอุปสรรคทั้งหลายที่เกิดขึ้น และเมื่อทำใจยอมรับได้ซึ่งความเป็นจริง อุปสรรคปัญหาในทุกสิ่งนั้นย่อมจะมีหนทางที่จะแก้ไข อยู่ที่ว่าเรานั้นทำใจได้แล้วหรือยัง…

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๗”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๖

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๖…

…ในการเขียนบทกวีธรรมนั้น บางครั้งเราต้องใช้อารมณ์ศิลปินเพื่อที่จะสร้างคำหรือภาษาที่สวยงามซึ่งต้องเวลาและอารมณ์ เป็นหลักในการประพันธ์บทกวี เมื่อได้พักกายพักจิต ทำชีวิตให้สบาย ทั้งภายนอกและภายใน ใจก็พร้อมที่จะทำงาน…

…การผ่อนคลายทางจิต โดยการปลดปล่อยความรู้สึกและความคิดไปสู่ท้องฟ้า มองหมู่เมฆที่เคลื่อนไปมาตามกระแสลม มองหมู่ดาวบนฟ้าในยามราตรีร้อยเรียงเรื่องราวมาเล่าเป็นบทกวี เป็นการพักผ่อนที่มีความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม…

…เมื่อฝนซาฟ้าใสใจเป็นสุข…

๐ จะร้อยเรียง เรื่องราว และข่าวสาร
ประสบการณ์ ผ่านตา มาให้เห็น
สอนให้จำ ทำให้ดู อยู่ให้เป็น
ไม่ยากเย็น เกินกว่า พยายาม

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๖”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๕

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๕…

…ชีวิตคือการเดินทางเพื่อสร้างงาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรม…

…มันเป็นไปตามบทบาทและลีลาของชีวิต ในจังหวะ เวลา โอกาสสถานที่ ไม่มีอะไรที่เป็นนิจจังทุกสิ่งอย่างเป็น อนัตตา…

…ชีวิตนี้ยังมีหนทางไป…

๐ ฟ้าครึ้ม ยามฝนพรำ
เมฆหมอกดำ ปกคลุมฟ้า
ม่านเมฆ หมอกมายา
ปกคลุมฟ้า ให้มืดมน

๐ เปรียบเป็น เช่นชีวิต
เมื่อความคิด เริ่มสับสน
จิตใจ นั้นกังวล
จิตสับสน ไร้หนทาง

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๕”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๔

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๔…

…เวลาจะช้าหรือจะเร็วนั้น มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ถ้าเรารู้สึกยินดีกับสิ่งที่กำลังเป็นและเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น เราจะรู้สึกว่าเวลานั้นมันแสนสั้น เพราะว่าใจของเรานั้นผูกพันธุ์ยึดถืออยู่กับสิ่งนั้น ไม่อยากจะให้มันผ่านพ้นไป ในทางกลับกัน ถ้าในเวลานั้นเรารู้สึกไม่พอใจ ไม่ยินดีกับสิ่งที่กำลังมีและกำลังเป็น อยากจะให้มันผ่านไปจบสิ้นไปโดยเร็ว เราก็จะรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปช้าเหลือเกิน เพราะใจของเราไม่ชอบและปฏิเสธในสิ่งที่กำลังเป็นไป มันจึงรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปช้ามาก เวลาในแต่ละช่วงนั้นมันมีระยะที่เท่ากันอยู่เสมอ ไม่มีช้าหรือเร็ว มันเป็นไปตามปกติวิสัยที่เราสมมุติขึ้นมาแต่ที่ทำให้รู้สึกว่าช้าหรือเร็วนั้นมันขึ้นอยู่ที่ใจของเรา…

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๔”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๓

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๓…

…สร้างคน สร้างงาน สร้างจิตสำนึก ในสายธรรม ด้วยการ “ทำให้ดู อยู่ให้เห็นสอนให้เป็น แล้วจึงปล่อย” รูปแบบของการนำเสนอ วิธีการนั้นอาจจะแตกต่างกันไปแต่เป้าหมายนั้นอาจคล้ายคลึงกัน สิ่งนั้นคือการเผยแผ่ธรรม ซึ่งการนำเสนอธรรมนั้นขึ้นอยู่กับ จังหวะเวลา โอกาส สถานที่และบุคคล สิ่งเหล่านั้นคือเหตุและปัจจัยที่ต้องแปรเปลี่ยนไปเพื่อความเหมาะสมที่เรียกว่า “ธรรมสัปปายะ”

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๓”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๒

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๒…

…ในบางครั้งต้องแกล้งโง่ แกล้งบ้า และนิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว วิธีการอย่างนี้ต้องใช้ให้เหมาะสมกับจังหวะ เวลา โอกาส สถานที่และตัวบุคคล มันจึงจะได้ผล ทุกอย่างนั้นต้องมีการวิเคราะห์และพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไร ซึ่งเราต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและแก้ไข ให้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ

…สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเราว่าตัวว่าตนของเรา ธรรมเป็นสัจธรรมที่อยู่คู่กับโลกและธรรมชาติตลอดมา

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต บทที่ ๒”

บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต ปฐมบท

…บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต ปฐมบท…

…พิจารณาทำความรู้ความเข้าใจในทุกสรรพสิ่ง ในความเป็นจริงของชีวิต คิดพิจารณาทุกอย่างเข้าหาหลักธรรม มองให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ประสพพบเห็นนั้น “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

…เมื่อเข้าใจทุกอย่างก็จบ มันมีคำตอบอยู่ในตัวของตัวมันเองไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปค้นหา เพราะว่า “ตถตา มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง”

อ่านเพิ่มเติม “บันทึกธรรมย้ำเตือนจิต ปฐมบท”