ปรารภธรรมในยามรุ่งอรุณ

…ปรารภธรรมในยามรุ่งอรุณ…

…ในการฟังธรรมแต่ละครั้งนั้นเราจะได้มุมมองใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้ง แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน ที่เคยฟังมาแล้ว เพราะว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปนั้น เราได้สั่งสมซึ่ง ประสบการณ์ขึ้นมาตลอดเวลาการพัฒนาของความคิด ทำให้จิตของเราละเอียดขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทำให้มีมุมมองใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเสมอ

…ฉะนั้นเราจึงไม่ควรที่จะด่วนสรุปอะไรในสิ่งที่ผ่านมา ว่าเรานั้นรู้แล้วเข้าใจแล้ว เมื่อได้ฟัง ได้อ่านและได้ทำเหตุเพราะว่าในเวลานั้นความรู้ความเข้าใจของเรามันมีอยู่เท่านั้น จึงรู้และเข้าใจได้เพียงขนาดนั้น

…แต่เมื่อเราได้ประพฤติปฏิบัติต่อไปกำลังของสติและกำลังของปัญญาของเราก็จะเพิ่มขึ้น มุมมองก็จะกว้างขึ้นเห็นแง่มุมต่าง ๆ ที่เราเคยมองข้ามไปทุกสิ่งอย่างนั้น ย่อมเป็นไปตามความเหมาะสมของจังหวะ เวลา โอกาสสถานที่และบุคคล

…ซึ่งตราบใดที่เรายังไม่หมดซึ่งกิเลสเราจึงไม่ควรที่จะด่วนสรุปว่า เรารู้แล้วเข้าใจแล้วและไม่ต้องทำอีกต่อไปแล้วเพราะว่าเรานั้น ยังเป็นเสขะบุคคลที่ยังต้องฝึกฝนอีกยาวไกล…

…เพราะอัตตา มันพาไป ใจจึงทุกข์
ไร้ซึ่งสุข เพราะว่าใจ ไปยึดถือ
ว่ามันเป็น ของของเรา อยู่ในมือ
ใจยึดถือ ในสิ่งนั้น อย่างมั่นคง

…ทุกสิ่งอย่าง ย่อมมี การเกิดดับ
เปลี่ยนสลับ กันไป อย่าได้หลง
อนิจจัง นั้นคือความ ไม่มั่นคง
จึงต้องปลง ลดละ ซึ่งอัตตา

…เพราะอัตตา ตัวตน ของคนนั้น
ไปยึดมั่น ยึดถือ ในเนื้อหา
ไม่ยอมรับ ซึงความเป็น อนิจจา
มันจึงพา ให้เกิดทุกข์ ไม่สุขใจ

…ทุกข์เพราะความ อยากมี และอยากเป็น
อยากจะเห็น ให้มันเป็น เช่นนั้นได้
ไม่อยากให้ มันจาก หรือพรากไป
อยากจะให้ มันนั้นอยู่ คู่กับเรา

…สิ่งเหล่านี้ คืออัตตา และมานะ
ถ้าไม่ละ จะนำจิต คิดโง่เขลา
หลงตัวตน ความคิด จิตมึนเมา
เพราะว่าเข้า ไปยึดติด จิตผูกพัน

…อยากจะให้ เป็นไป อย่างที่คิด
ไปยึดติด ให้มันเป็น อยู่เช่นนั้น
ไม่อยากให้ มันนั้นจาก หรือพรากกัน
ความยึดมั่น และยึดถือ คืออัตตา

…เพราะอัตตา ตัวตน ของคนนี้
ทำให้มี มากมาย หลายปัญหา
ผลกระทบ มากมาย จึงตามมา
ก็เพราะว่า ไม่ยอมรับ ซึ่งความจริง

…ทุกสิ่งอย่าง ล้วนอยู่ใน พระไตรลักษณ์
ไปตามหลัก ธรรมชาติ ในทุกสิ่ง
และเมื่อใจ ไม่ยอมรับ ในความจริง
มันก็ยิ่ง ทำให้ทุกข์ ไม่สุขใจ

…เพราะว่าใจ อยากได้ ซึ่งความสุข
จึงต้องทุกข์ เพราะอยากมี และอยากได้
อยากจะอยู่ อยากจะเห็น และเป็นไป
ตามที่ใจ ของตน นั้นต้องการ

…เมื่อไม่ได้ ตามที่ใจ ปรารถนา
ก็นำมา ให้เกิดทุกข์ ไม่สุขสาน
ถ้าอยากให้ ใจไม่ทุกข์ สุขสำราญ
ต้องฝึกการ ละวาง ห่างอัตตา

…ฝึกทำใจ ให้ยอมรับ ในความจริง
กับทุกสิ่ง ที่เกิดดับ ตามเนื้อหา
ฝึกซึ่งการ ลดละ ซึ่งอัตตา
ภาวนา ให้มันเห็น ความเป็นจริง…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม…
…๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๕…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *