กระแสธรรมแห่งกาลเวลา

…กระแสธรรมแห่งกาลเวลา…

…ช่วงนี้หยุดพักเรื่องการเดินทางลงชั่วคราว ทำให้มีเวลาที่จะทบทวนได้ในสิ่งที่ได้ผ่านมา สิ่งที่มุ่งหวังและตั้งใจไว้ สิ่งที่ได้กระทำลงไปและสิ่งที่ยังไม่ได้กระทำ การทำงานทุกอย่างนั้นต้องมีแผนงาน มีแบบแผนและโครงสร้างที่เราต้องวางไว้ล่วงหน้าซึ่งที่ผ่านมานั้นเกิดจากการคิดและวิเคราะห์หาความเหมาะสมกับเวลาโอกาส สถานที่ บุคคล เอามาเป็นเหตุและผลของการกำหนดแผนงาน

…วางใจของเราให้เป็นกลาง แล้วมองทุกอย่างโดยความเป็นจริง ไม่เอาความคิดของตนเองมาเป็นบรรทัดฐานในการคิดและวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับเหตุและปัจจัยที่มีและเป็นอยู่ คิดงานจากพื้นฐานที่มีอยู่

…คือเมื่อคิดได้และต้องทำได้ด้วยไม่ใช่คิดไปแบบจินตนาการที่เลื่อนลอยคือการที่คิดได้แต่สามารถที่จะทำไม่ได้เพราะขาดซึ่งเหตุและปัจจัยมาหนุนช่วยมันจึงเป็นความคิด ความฝันที่เลื่อนลอยไม่สามารถทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้

…แต่ถ้าเราคิดงานจากเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ สิ่งที่เราคิดนั้นสามารถที่จะทำให้เป็นรูปธรรมได้ขึ้นมาทันที เพราะคิดจากสิ่งที่มีและที่เป็น ไม่ได้ไปคอยเหตุและปัจจัยในอนาคตที่ยังไม่มีและยังไม่มา สิ่งที่คิดจึงสามารถที่จะทำได้ทันทีสิ่งที่สำคัญในการคิดก็คือการรู้จักกำลังของตนเอง รู้ประมาณในกำลังความรู้ความสามารถและโอกาสที่ตนมี ไม่ทำในสิ่งที่เกินกำลังของตนเอง เพราะการทำงานที่เกินกำลังของตนเองนั้นอาจนำมาซึ่งความทุกข์กายและทุกข์ใจ…

..เตรียมกาย เตรียมจิต คิดทำ
น้อมนำ ทำด้วย สติ
ทำจิต ให้เป็น สมาธิ
ดำริ คือคิด ก่อนทำ

…มองงาน ให้แตก แยกงาน
อย่าผ่าน พินิจ คิดซ้ำ
มองงาน มองด้วย หลักธรรม
เพลี่ยงพล้ำ ไม่เกิด แก่เรา

…รู้เห็น เข้าใจ ปัญหา
ปัญญา ทำให้ ไม่เขลา
ทำกาย ทำจิต โปร่งเบา
รู้เท่า รู้ทัน อารมณ์

…ชีวิต คือการ ทำงาน
ต้องผ่าน ซึ่งการ สะสม
เรียนรู้ สู่โลก สังคม
เหมาะสม กับวัน เวลา

…รู้โลก รู้ธรรม นำจิต
พินิจ และหมั่น ศึกษา
เจริญ สติ ภาวนา
ปัญญา เกิดได้ จากธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕…