คือดอกไม้

คือดอกไม้ ตามรายทาง ที่ย่างผ่าน
ได้พบพาน จึงบันทึก เก็บรักษา
เก็บเพียงภาพ ความทรงจำ นำกลับมา
ดอกไม้ป่า นั้นควรอยู่ คู่พงไพร…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๔ ธันวาคม ๒๕๕๔…

ชีวิตในแต่ละวัน

…ชีวิตในแต่ละวัน…

ต้องพบปะและสื่อสารกันกับผู้คนมากมาย แม้นจะหลบหลีกมาอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากชุมชนนั้นแล้วก็ตาม ก็ยังมีคนพยามยามที่จะไปมาหาสู่ ขึ้นมาเยี่ยมเยือนพบปะพูดคุย ที่อยู่ห่างไกลก็ใช้การสื่อสารสมัยใหม่ในยุคไอที เพื่อที่จะได้คุยกันโลกและธรรมจึงต้องดำเนินไปคู่กัน จึงเอาปัจจุบันธรรมมาพิจารณาเป็นอารมณ์กรรมฐาน พิจารณาสิ่งทั้งหลายที่ได้เห็นให้เป็นธรรมะพิจารณาให้เห็นถึงคุณและโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ในสิ่งนั้น

อ่านเพิ่มเติม “ชีวิตในแต่ละวัน”

บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๑๔

…บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ บทที่ ๑๔…

…การปฏิบัติธรรม เป็นการกระทำที่เริ่มจากจิต จากความคิดแล้วแสดงออกมาซึ่งทางกายการปฏิบัติธรรมนั้น มิใช่เป็นไปเพื่อความโอ้อวดเพื่อให้ผู้อื่นเขายกย่องสรรเสริญชื่นชมแต่เป็นการอบรมกายและจิตของเรา โดยมีสติและสัมปชัญญะควบคุมอยู่ มีความระลึกรู้และมีความรู้ตัวทั่วพร้อมในกายในจิตในความคิดและการกระทำ เพิ่มพูนคุณธรรมให้แก่จิตปรับเปลี่ยนความคิด เพื่อให้จิตเป็นบุญกุศล ไม่เอาแต่ความคิดของตนมาเป็นใหญ่ เปิดจิตเปิดใจให้เปิดกว้างพิจารณาทุกอย่างโดยเหตุและผลไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนจนเกินไปรู้จักการให้และการแบ่งปัน สิ่งที่กล่าวมานั้นคือการปฏิบัติธรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๖ สิงหาคม ๒๕๖๔…

สดับธรรมคำกวีที่ริมสระน้ำ

…สดับธรรมคำกวีที่ริมสระน้ำ…

๐ สายลม โอบกอด เมฆหมอก
เหย้าหยอก อยู่บน ท้องฟ้า
เคลื่อนคล้อย ลอยไหล ไปมา
เริงร่า ท้าทาย แสงดาว

๐ ใบไม้ ต้องลม แกว่งไกว
สั่นไหว ท่ามกลาง ลมหนาว
คล้ายจะ บอกถึง เรื่องราว
ส่งข่าว ถึงใคร บางคน

๐ สายลม ในคืน เหน็บหนาว
บอกกล่าว ถึงความ สับสน
ของผู้ ที่ยัง ทุกข์ทน
บนหน ทางที่ ท้าทาย

อ่านเพิ่มเติม “สดับธรรมคำกวีที่ริมสระน้ำ”

อุทานธรรมคืนแปดค่ำเดือนอ้ายใต้แสงจันทร์

…อุทานธรรมคืนแปดค่ำเดือนอ้ายใต้แสงจันทร์… (กาพย์ยานี๑๑)

…มองหา ก็มองเห็น ซึ่งความเป็น ในโลกนี้
หลายหลาก และมากมี ได้พบเห็น เป็นประจำ
เห็นแล้ว เก็บมาคิด มาพินิจ ให้เห็นธรรม
ก่อเกิด กุศลกรรม รู้เข้าใจ ในความจริง
ทุกสิ่ง นั้นเคลื่อนไหว แปรเปลี่ยนไป ในทุกสิ่ง
ไม่เคย จะหยุดนิ่ง ล้วนเกิดดับ ธรรมดา
เกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่ มองให้รู้ เห็นปัญหา
ใช้จิต ใช้ปัญญา มองทุกอย่าง ว่างอัตตา
วางจิต ให้เป็นกลาง จะไม่สร้าง ซึ่งปัญหา
ลดละ ในอัตตา เดินตามธรรม ดำเนินไป
มองหา ทั้งสองด้าน มองให้ผ่าน สู่ข้างใน
ดีชั่ว จงดูไป มองให้เห็น ทั้งสองทาง
ทั้งโทษ และทั้งคุณ มองและหมุน หาช่องว่าง
รู้แล้ว ก็ละวาง จิตเข้าใจ ก็เห็นธรรม
ดีชั่ว ใครกำหนด หรือเป็นกฏ ผลของกรรม
สิ่งคิด และสิ่งทำ ล้วนใจเรา กำหนดมา
ทุกอย่าง เริ่มจากจิต จากความคิด ส่งออกมา
จึงเกิด เป็นปัญหา เพิ่มกิเลส ให้แก่ตน
เพ่งโทษ ผู้อื่นเขา เท่ากับเอา มาปะปน
กิเลส ในใจตน เป็นทบเท่า ทวีคูณ

…มองหา ก็มองเห็น มองให้เป็น สิ่งดับสูญ
อย่าเอา มาเพิ่มพูน จงปล่อยปละ และละวาง
วางใจ และวางจิต จงอย่าคิด จิตเข้าข้าง
มองหา ในเส้นทาง สู่สงบ และร่มเย็น
สงบ สยบได้ สิ่งเคลื่อนไหว ในที่เห็น
วางใจ วางจิตเป็น ใจสงบ เมื่อพบธรรม…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…

โลกเคลื่อนไหวอย่าหวั่นไหวไปตามโลก

…โลกเคลื่อนไหวอย่าหวั่นไหวไปตามโลก… (กาพย์ยานี ๑๑)

…มากมายหลายเรื่องราว ซึ่งข่าวคราวที่ส่งมา
ร้อยเรื่องร้อยปัญหา ทำให้คิดและติดตาม
ทางโลกและทางธรรม จิตน้อมนำมิมองข้าม
เฝ้าดูอยู่ทุกยาม เฝ้าดูจิตที่คิดไป
ผัสสะมากระทบ และมันจบลงที่ใจ
บางครั้งจิตหวั่นไหว ต่อผัสสะที่มีมา
คล้อยตามกระแสโลก จึงทุกข์โศกกับปัญหา
เพราะจิตมีอัตตา ชี้ถูกผิดด้วยจิตตน
พลั้งเผลอใช่พลั้งพลาด มีโอกาศจะฝึกฝน
เผลอไปให้รู้ตน เตือนสติให้กลับมา
วางจิตอยู่ในกาย ไม่เสาะส่ายออกไปหา
ดูจิตดูกายา ไม่ส่งจิตออกนอกกาย
จิตที่ส่งออกนั้น รู้ให้ทันอย่าให้หาย
เป็นเหตุสมุทัย ทำให้ทุกข์นั้นเกิดมา
จิตรู้จิตเห็นจิต เห็นความคิดรู้ปัญหา
สิ่งนั้นคือมรรคา ที่จะดับทุกข์นั้นไป
ผลจากการเห็นจิต ดับสนิทสิ้นสงสัย
สว่างขึ้นในใจ เป็นนิโรธที่ดับลง
วางจิตไว้ในกาย อย่างมั่นหมายมิไหลหลง
ตั้งจิตให้มั่นคง โดยเอาธรรมมานำทาง
นำทางสร้างชีวิต และนำจิตสู่สว่าง
เดินในทางสายกลาง ตามมรรคแปดควบคุมตน

…ชีวิตอิสระ ไร้พันธะเพราะหลุดพ้นหลุดออกจากวังวน ในวัฏฏะที่เป็นมา เข้าสู่กระแสธรรม บุญหนุนนำให้ล้ำค่า ก่อเกิดซึ่งปัญญา ตาสว่างเพราะทางธรรม…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…

บางครั้งในสิ่งที่ไม่อยากจะทำก็ต้องทำและในสิ่งที่อยากจะทำก็ไม่ได้ทำ

…บางครั้งในสิ่งที่ไม่อยากจะทำก็ต้องทำและในสิ่งที่อยากจะทำก็ไม่ได้ทำ ซึ่งทุกอย่างนั้นมันขึ้นอยู่กับ จังหวะ เวลา โอกาส สถานที่และตัวบุคคล เป็นเหตุและปัจจัยให้เกิดสิ่งนั้น พิจารณาเป็นธรรมะ มันก็อยู่ในฐานเวทนาหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ คือความยินดีและไม่ยินดี ถ้าเราได้กระทำในสิ่งที่เรายินดีในสิ่งที่ชอบ ในสิ่งที่ใช่ ใจของเราก็จะมีความยินดีพอใจในสิ่งที่กระทำนั้นแต่ในทางกลับกัน ถ้าเราฝืนทำในสิ่งที่เราไม่ชอบไม่พอใจ ใจของเรานั้นก็จะเกิดความไม่ยินดี คืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์

อ่านเพิ่มเติม “บางครั้งในสิ่งที่ไม่อยากจะทำก็ต้องทำและในสิ่งที่อยากจะทำก็ไม่ได้ทำ”

อุทานธรรมยามเช้าที่เขาเรดาร์

…อุทานธรรมยามเช้าที่เขาเรดาร์…

๐ ม่านเมฆหมอก ปกคลุม ทั่วขุนเขา
ลมแผ่วเบา พัดมา พาให้หนาว
ให้ระลึก นึกไป หลายเรื่องราว
ที่ทราบข่าว รับรู้ หดหู่ใจ

๐ สังคมไทย เปลี่ยนแปลง ไปอย่างมาก
แสนลำบาก ยากแท้ จะแก้ไข
คุณธรรม เริ่มสูญหาย สลายไป
คนจึงไม่ เกรงกลัว ซึ่งบาปกรรม

๐ เอากฏหมู่ อยู่เหนือ ซึ่งกฏหมาย
มันจึงกลาย เป็นยุค ที่ตกต่ำ
เพราะกิเลส ตัณหา นั้นครอบงำ
จึงสร้างกรรม ทำบาป ไม่เกรงกลัว

๐ เป็นแบบอย่าง ความคิด ที่ผิดพลาด
เพราะสามารถ ปลูกฝัง ซึ่งความชั่ว
ทำให้คน ส่วนมาก เห็นแก่ตัว
ไม่เกรงกลัว ชั่วหยาบ ทำบาปกัน

๐ ไม่มีแล้ว ความสัมมา คารวะ
ไม่ลดละ อัตตา ความดื้อรั้น
ไม่ยอมฟัง เหตุผล แบ่งชนชั้น
แตกแยกกัน ไร้ซึ่ง สามัคคี

๐ ระลึกถึง ข้อธรรม พระไตรลักษณ์
มาเป็นหลัก ขบคิด สิ่งเหล่านี้
อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ มันจึงมี
เพราะโลกนี้ เสื่อมไป ทุกเวลา…

…ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร…
…๓ ธันวาคม ๒๕๕๔…

เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๓

…เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๓…

…สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ “มันก็เป็นเช่นนั้นเอง” ตามที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า “จิตใจคนจะเสื่อมไปจากคุณธรรมตามกาลและเวลา จนสิ้นสุดพระศาสนา เมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี” เพราะโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของพระไตรลักษณ์ แต่ขอเพียงความเสื่อมจากคุณธรรมนั้น อย่าเกิดจากเราเป็นผู้กระทำก็เพียงพอแล้ว…

อ่านเพิ่มเติม “เรียงร้อยธรรมไปตามกาล บทที่ ๙๓”

รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๙๓

…รำพึงธรรมตามรายทาง บทที่ ๙๓…

…บอกกล่าวกับผู้คนที่ได้สนทนาธรรมกันอยู่บ่อยครั้งว่า เรื่องราวเหตุการณ์ของแต่ละคนที่ได้ผ่านมานั้น มันเกิดจากกรรมที่ได้ทำมาจากอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาตินี้ก็ดี ทุกอย่างนั้นมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิด

…ทุกย่างก้าวที่เราเดินผ่าน นั้นคือตำนานของชีวิต ที่เราได้ลิขิตขึ้นมาเอง ไม่ใช่โชคชะตาหรือฟ้าลิขิต ไม่ใช่นิมิตของเทวดาบนสรวงสวรรค์ ไม่ใช่พระพรหมนั้นมาบันดาล แต่สิ่งที่ชีวิตต้องพบพานนั้นล้วนเกิดจากกรรม ที่เคยกระทำผูกพันกันมาจึงต้องมาประสพพบเจอมีทั้งกรรมที่เป็นอกุศล อันส่งผลให้พบความทุกข์หรือว่ากรรมที่เป็นกุศลอันส่งผลให้ได้รับความสุข ทุกเรื่องจึงสรุปลงที่กรรม…

…ปรารถนาดีด้วยไมตรีจิต…
…รวี สัจจะ – สมณะไร้นาม…
…๓ มิถุนายน ๒๕๖๕…